ธรรมะสอนใจ ว่าด้วยคนโง่ คนฉลาด และคนเจ้าปัญญา
- ว่าด้วยความเก่งกาจ
คนโง่ มัวอวดเก่ง จึงไม่มีใครเติมความเก่งให้กับเขาอีก
คนฉลาด ชอบเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเก่งให้ยิ่งขึ้น และเอาความเก่งมาใช้โดยไม่อวด จึงได้ผลงานดี แต่อาจไม่ทุกเรื่อง และอาจไม่ยั่งยืน
คนเจ้าปัญญา หาความเก่งไม่เจอ แต่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมเสมอ เพราะมองเห็นทุกอย่างในตนและนอกตนเป็นธรรมดา ทุกคุณสมบัติจึงเป็นปกติ และ ยั่งยืนสำหรับเขา
- ว่าด้วยจรรยามารยาท
คนโง่ แข็งกระด้าง จึงล้มเหลว ดั่งเปลือกไม้ร่วงหล่นลงสู่ดิน
คนฉลาด ยืดหยุ่น จึงกระจายตนไปในสถานการณ์ต่างๆ ดั่งรากไม้แผ่ซ่านไปในผืนปฐพี
คนเจ้าปัญญา อ่อนโยน จึงเจริญงอกงาม ดั่งยอดไม้ที่ทะยานขึ้นสู่ที่สูง
- ว่าด้วยความรักสัมพันธ์
คนโง่ ชอบขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ
คนฉลาด ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนื่องๆ
คนเจ้าปัญญา ชอบให้ปัญญา ที่จะให้ทุกคนรักและเข้าใจตนเอง จึงได้รับความนับถือและความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ
- ว่าด้วยแหล่งมิตรภาพ
คนโง่ ชอบหาเพื่อนจากวงเหล้า หรือแหล่งอบายมุข จึงได้แต่มิตรเทียม ที่นำภัยมาสู่ชีวิต และ ต้องแตกแยกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
คนฉลาด ชอบหาเพื่อนจากงาน จึงได้มิตรดีร่วมอุดมการณ์ แต่เมื่องานหมดหรือล้มเหลว มิตรดีเหล่านั้นก็อันตรธานไป และ บางคนก็ผันมาเป็นศัตรูหรือคู่แข่ง
คนเจ้าปัญญา ชอบหาเพื่อนจากธรรมสภาวะ จึงได้มิตรแท้ที่มีรสนิยมเหนือเงื่อนไขทางโลก ความสัมพันธ์จึงสะอาด และ มีแนวโน้มนิรันดร
- ว่าด้วยความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์
คนโง่ มองแต่ความชั่วร้ายในคนอื่น จึงหยิบยื่นแต่โทษให้แก่กัน และได้รับความทุกข์ตรมเป็นของกำนัล
คนฉลาด มองแต่ความดีในคนอื่น จงหยิบยื่นคุณค่าให้แก่กัน และได้รับความสุขระคนทุกข์อันประณีต เป็นของกำนัล
คนเจ้าปัญญา มองทั้งความดีและความชั่วในทุกตัวคน จึงควบคุมโทษแม้เล็กน้อย ที่อาจเกิดระหว่างกัน แล้วหยิบยื่นคุณค่าให้เพื่อการพัฒนาร่วมกัน ปฏิสัมพันธ์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องและได้รับความ เจริญรุ่งเรืองยั่งยืนเป็นกำนัล
- ว่าด้วยวัฒนธรรมสัมพันธ์
คนโง่ เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา ก็ทำสืบๆกันไป โดยไม่ได้ตรวจสอบประเมินคุณค่าใดๆ จึงผิดๆ ถูกๆ
คนฉลาด เห็นอะไรที่ทำสืบๆ กันมาก็ยังไม่ทำสืบๆกันไป ทำการตรวจสอบประเมินคุณค่าก่อน จึงจะทำสืบๆกันต่อไป จึงได้ประโยชน์ชัดเจน
คนเจ้าปัญญา เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา และ สืบๆกันไป ก็พยายามพัฒนาต่อเพื่อสิ่งที่ดีกว่า จึงได้ความเจริญโดยลำดับ
- ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ
คนโง่ เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก
คนฉลาด กตัญญูผู้มีบุญคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รุ้จบ
คนเจ้าปัญญา ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่อง ทุกฝ่ายจึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง
- ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา
คนโง่ พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย
คนฉลาด พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา
คนเจ้าปัญญา พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น
- ว่าด้วยการบริหารและการปกครอง
คนโง่ พยายามบริหารคน จึงวุ่นวายสับสนตามธรรมชาติของคน
คนฉลาด พยายามบริหารประโยชน์สัมพันธ์ จึงยุ่งยากซับซ้อนตามปรารถนาอันไม่สิ้นสุด
คนเจ้าปัญญา พยายามบริหารระบบธรรม จึงสงบลงตัว ณ จุดพอดี
- ว่าด้วยความคิด!!!
คนโง่ เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย
คนฉลาด เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอมรับความจริงและแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ
คนเจ้าปัญญา เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็นสัดส่วนการบริหารคนที่เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่วสากลให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป
- ว่าด้วยการบริหารธรรม
คนโง่ ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ
คนฉลาด ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี
คนเจ้าปัญญา ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!
- ว่าด้วยความเพียร
คนโง่ มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี
คนฉลาด มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าห์ระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก
คนเจ้าปัญญา ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป
- ว่าด้วยความจริงจัง
คนโง่ เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า
คนฉลาด เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ
คนเจ้าปัญญา เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว
- ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ
คนโง่ รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง
คนฉลาด เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก
คนเจ้าปัญญา ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า
- ว่าด้วยความรักและคู่รัก
คนโง่ กระหายคู่ จึงอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะไม่เป็นสุข ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเสมอ
คนฉลาด ปฎิเสธคู่ จึงเป็นสุขเมื่ออยู่คนเดียว และเป็นทุกข์เมื่ออยู่กับคนอื่น และหากยังต้องพึ่งพิงก็ยิ่งระทม และขมขื่น
คนเจ้าปัญญา ไม่แสวงหา แต่ก็ไม่ปฎิเสธคู่ที่พึงมี หากมีคู่ก็ประคับประคองกันไปสู่ชีวิตที่สูงส่งยิ่งขึ้นทั้งคู่ จึงอยู่คนเดียวก็ได้เป็นสุขดี อยู่กับคู่ก็ดีเป็นสุขได้
- ว่าด้วยสัจจสัมพันธ์
คนโง่ ไม่รักษาสัจจะ จึงไม่มีใครเชื่อถือ ตนก็ไม่อาจเคารพในตนได้
คนฉลาด คลั่งไคล้สัจจะ แยกไม่ออกระหว่าง ประโยชน์และโทษของสัจจะแต่ละระดับ.....จึงมักพาตนและพาคนอื่นติดกับดักแห่ง ความจริงโดยไม่ตั้งใจ
คนเจ้าปัญญา ทำสัจจะกับปัญญาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงมีสัจจะรักษา และมีอำนาจพิเศษยิ่งกว่าคนทั่วไป
- ว่าด้วยความเป็นไปได้
คนโง่ ชอบคิดว่าทุกสิ่งที่หวังเป็นไปไม่ได้ จึงขังตนเองในความเกียจคร้าน ชีวิตต่ำต้อย
คนฉลาด ชอบคิดว่า ทุกสิ่งที่หวังเป็นไปได้ จึงทะยานไปในตัณหาไม่รู้จบ ชีวิตกระเจิดกระเจิง
คนเจ้าปัญญา ย่อมเห็นว่าในบรรดาสิ่งที่หวัง บางสิ่ง เป็นไปไม่ได้ บางสิ่งเป็นไปได้ ในบรรดาสิ่งที่เป็นไปไม่ ได้ทั้งหมดนั้น บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ถาวร บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราว และในบรรดาสิ่งที่เป็นไปได้ถาวรนั้น บางสิ่งก็ไม่มีประโยชน์ บางสิ่งมีประโยชน์ เขาจึงปรับความหวังให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่มีประโยชน์ และปรับสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราวให้เป็นไปได้มากขึ้น ชีวิตจึงอยู่กับความสมหวังและการพัฒนาโดยลำดับ
- ว่าด้วยพันธสัญญา
คนโง่ ไม่กล้ารับปากใครแม้กับตนเอง จึงไม่ได้รับความเชื่อถือแม้ต่อตนเอง
คนฉลาด รับปากเรื่อยไปในทุกเรื่อง ต้องเพียรพยายามทำตามสัญญาด้วยความเหนื่อยยาก และทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้รับความเชื่อถือบ้าง ไม่เชื่อถือบ้าง
คนเจ้าปัญญา ชวนทุกคนที่เกี่ยวข้องร่วมพันธสัญญาจึงได้พลังร่วมของส่วนรวมที่จะขับเคลื่อนภารกิจไปสู่ความสำเร็จ
- ว่าด้วยผู้พูด
คนโง่ ชอบให้อารมณ์พูด จึงผิดพลาดมากล้มเหลวบ่อย
คนฉลาด ชอบใช้เหตุผล จึงถูกต้องมากแต่มักไร้ความรู้สึก และประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง
คนเจ้าปัญญา ชอบใช้ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์ เหนือถูกผิด และเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม
- ว่าด้วยความเป็นธรรม
คนโง่ ชอบเรียกหาความเป็นธรรม จนบ่อยครั้งใช้กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกหา จึงพาให้ยิ่งห่างไกลความเป็นธรรม
คนฉลาด ชอบสร้างความเป็นธรรม ปั้นแล้วปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด เพราะความเป็นธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับปรารถนาของใคร จึงเป็นความหวังดีที่ล้มเหลวเรื่อยไป
คนเจ้าปัญญา ชอบประพฤติธรรม ดำรงอยู่และดำเนินไปโดยธรรม จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม
- ว่าด้วยการบริหารอารมณ์
คนโง่ มักจมอยู่ในอารมณ์ ด้วยคิดว่าอารมณ์คือเขา เขาคืออารมณ์ เขาจึงเป็นทาสของอารมณ์เสมอ
คนฉลาด ชอบปฎิเสธอารมณ์ เพราะคิดว่าอารมณ์คือสิ่งรบกวน ทำตัวเป็นคนสงบที่ไร้อารมณ์ เขาจึงเป็นเพื่อนกับผีดิบ
คนเจ้าปัญญา ย่อมบริหารอารมณ์ สร้างอารมณ์ที่ควรสร้าง เสพอารมณ์ที่ควรเสพ ควบคุมอารมณ์ที่ควรควบคุม รักษาอารมณ์ที่ควรรักษา สลายอารมณ์ที่ควรสลาย เขาจึงเป็นนายของอารมณ์โดยสมบูรณ์
คนโง่ มัวอวดเก่ง จึงไม่มีใครเติมความเก่งให้กับเขาอีก
คนฉลาด ชอบเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเก่งให้ยิ่งขึ้น และเอาความเก่งมาใช้โดยไม่อวด จึงได้ผลงานดี แต่อาจไม่ทุกเรื่อง และอาจไม่ยั่งยืน
คนเจ้าปัญญา หาความเก่งไม่เจอ แต่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมเสมอ เพราะมองเห็นทุกอย่างในตนและนอกตนเป็นธรรมดา ทุกคุณสมบัติจึงเป็นปกติ และ ยั่งยืนสำหรับเขา
- ว่าด้วยจรรยามารยาท
คนโง่ แข็งกระด้าง จึงล้มเหลว ดั่งเปลือกไม้ร่วงหล่นลงสู่ดิน
คนฉลาด ยืดหยุ่น จึงกระจายตนไปในสถานการณ์ต่างๆ ดั่งรากไม้แผ่ซ่านไปในผืนปฐพี
คนเจ้าปัญญา อ่อนโยน จึงเจริญงอกงาม ดั่งยอดไม้ที่ทะยานขึ้นสู่ที่สูง
- ว่าด้วยความรักสัมพันธ์
คนโง่ ชอบขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ
คนฉลาด ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนื่องๆ
คนเจ้าปัญญา ชอบให้ปัญญา ที่จะให้ทุกคนรักและเข้าใจตนเอง จึงได้รับความนับถือและความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ
- ว่าด้วยแหล่งมิตรภาพ
คนโง่ ชอบหาเพื่อนจากวงเหล้า หรือแหล่งอบายมุข จึงได้แต่มิตรเทียม ที่นำภัยมาสู่ชีวิต และ ต้องแตกแยกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
คนฉลาด ชอบหาเพื่อนจากงาน จึงได้มิตรดีร่วมอุดมการณ์ แต่เมื่องานหมดหรือล้มเหลว มิตรดีเหล่านั้นก็อันตรธานไป และ บางคนก็ผันมาเป็นศัตรูหรือคู่แข่ง
คนเจ้าปัญญา ชอบหาเพื่อนจากธรรมสภาวะ จึงได้มิตรแท้ที่มีรสนิยมเหนือเงื่อนไขทางโลก ความสัมพันธ์จึงสะอาด และ มีแนวโน้มนิรันดร
- ว่าด้วยความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์
คนโง่ มองแต่ความชั่วร้ายในคนอื่น จึงหยิบยื่นแต่โทษให้แก่กัน และได้รับความทุกข์ตรมเป็นของกำนัล
คนฉลาด มองแต่ความดีในคนอื่น จงหยิบยื่นคุณค่าให้แก่กัน และได้รับความสุขระคนทุกข์อันประณีต เป็นของกำนัล
คนเจ้าปัญญา มองทั้งความดีและความชั่วในทุกตัวคน จึงควบคุมโทษแม้เล็กน้อย ที่อาจเกิดระหว่างกัน แล้วหยิบยื่นคุณค่าให้เพื่อการพัฒนาร่วมกัน ปฏิสัมพันธ์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องและได้รับความ เจริญรุ่งเรืองยั่งยืนเป็นกำนัล
- ว่าด้วยวัฒนธรรมสัมพันธ์
คนโง่ เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา ก็ทำสืบๆกันไป โดยไม่ได้ตรวจสอบประเมินคุณค่าใดๆ จึงผิดๆ ถูกๆ
คนฉลาด เห็นอะไรที่ทำสืบๆ กันมาก็ยังไม่ทำสืบๆกันไป ทำการตรวจสอบประเมินคุณค่าก่อน จึงจะทำสืบๆกันต่อไป จึงได้ประโยชน์ชัดเจน
คนเจ้าปัญญา เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา และ สืบๆกันไป ก็พยายามพัฒนาต่อเพื่อสิ่งที่ดีกว่า จึงได้ความเจริญโดยลำดับ
- ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ
คนโง่ เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก
คนฉลาด กตัญญูผู้มีบุญคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รุ้จบ
คนเจ้าปัญญา ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่อง ทุกฝ่ายจึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง
- ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา
คนโง่ พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย
คนฉลาด พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา
คนเจ้าปัญญา พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น
- ว่าด้วยการบริหารและการปกครอง
คนโง่ พยายามบริหารคน จึงวุ่นวายสับสนตามธรรมชาติของคน
คนฉลาด พยายามบริหารประโยชน์สัมพันธ์ จึงยุ่งยากซับซ้อนตามปรารถนาอันไม่สิ้นสุด
คนเจ้าปัญญา พยายามบริหารระบบธรรม จึงสงบลงตัว ณ จุดพอดี
- ว่าด้วยความคิด!!!
คนโง่ เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย
คนฉลาด เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอมรับความจริงและแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ
คนเจ้าปัญญา เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็นสัดส่วนการบริหารคนที่เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่วสากลให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป
- ว่าด้วยการบริหารธรรม
คนโง่ ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ
คนฉลาด ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี
คนเจ้าปัญญา ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!
- ว่าด้วยความเพียร
คนโง่ มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี
คนฉลาด มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าห์ระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก
คนเจ้าปัญญา ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป
- ว่าด้วยความจริงจัง
คนโง่ เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า
คนฉลาด เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ
คนเจ้าปัญญา เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว
- ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ
คนโง่ รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง
คนฉลาด เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก
คนเจ้าปัญญา ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า
- ว่าด้วยความรักและคู่รัก
คนโง่ กระหายคู่ จึงอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะไม่เป็นสุข ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเสมอ
คนฉลาด ปฎิเสธคู่ จึงเป็นสุขเมื่ออยู่คนเดียว และเป็นทุกข์เมื่ออยู่กับคนอื่น และหากยังต้องพึ่งพิงก็ยิ่งระทม และขมขื่น
คนเจ้าปัญญา ไม่แสวงหา แต่ก็ไม่ปฎิเสธคู่ที่พึงมี หากมีคู่ก็ประคับประคองกันไปสู่ชีวิตที่สูงส่งยิ่งขึ้นทั้งคู่ จึงอยู่คนเดียวก็ได้เป็นสุขดี อยู่กับคู่ก็ดีเป็นสุขได้
- ว่าด้วยสัจจสัมพันธ์
คนโง่ ไม่รักษาสัจจะ จึงไม่มีใครเชื่อถือ ตนก็ไม่อาจเคารพในตนได้
คนฉลาด คลั่งไคล้สัจจะ แยกไม่ออกระหว่าง ประโยชน์และโทษของสัจจะแต่ละระดับ.....จึงมักพาตนและพาคนอื่นติดกับดักแห่ง ความจริงโดยไม่ตั้งใจ
คนเจ้าปัญญา ทำสัจจะกับปัญญาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงมีสัจจะรักษา และมีอำนาจพิเศษยิ่งกว่าคนทั่วไป
- ว่าด้วยความเป็นไปได้
คนโง่ ชอบคิดว่าทุกสิ่งที่หวังเป็นไปไม่ได้ จึงขังตนเองในความเกียจคร้าน ชีวิตต่ำต้อย
คนฉลาด ชอบคิดว่า ทุกสิ่งที่หวังเป็นไปได้ จึงทะยานไปในตัณหาไม่รู้จบ ชีวิตกระเจิดกระเจิง
คนเจ้าปัญญา ย่อมเห็นว่าในบรรดาสิ่งที่หวัง บางสิ่ง เป็นไปไม่ได้ บางสิ่งเป็นไปได้ ในบรรดาสิ่งที่เป็นไปไม่ ได้ทั้งหมดนั้น บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ถาวร บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราว และในบรรดาสิ่งที่เป็นไปได้ถาวรนั้น บางสิ่งก็ไม่มีประโยชน์ บางสิ่งมีประโยชน์ เขาจึงปรับความหวังให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่มีประโยชน์ และปรับสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราวให้เป็นไปได้มากขึ้น ชีวิตจึงอยู่กับความสมหวังและการพัฒนาโดยลำดับ
- ว่าด้วยพันธสัญญา
คนโง่ ไม่กล้ารับปากใครแม้กับตนเอง จึงไม่ได้รับความเชื่อถือแม้ต่อตนเอง
คนฉลาด รับปากเรื่อยไปในทุกเรื่อง ต้องเพียรพยายามทำตามสัญญาด้วยความเหนื่อยยาก และทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้รับความเชื่อถือบ้าง ไม่เชื่อถือบ้าง
คนเจ้าปัญญา ชวนทุกคนที่เกี่ยวข้องร่วมพันธสัญญาจึงได้พลังร่วมของส่วนรวมที่จะขับเคลื่อนภารกิจไปสู่ความสำเร็จ
- ว่าด้วยผู้พูด
คนโง่ ชอบให้อารมณ์พูด จึงผิดพลาดมากล้มเหลวบ่อย
คนฉลาด ชอบใช้เหตุผล จึงถูกต้องมากแต่มักไร้ความรู้สึก และประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง
คนเจ้าปัญญา ชอบใช้ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์ เหนือถูกผิด และเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม
- ว่าด้วยความเป็นธรรม
คนโง่ ชอบเรียกหาความเป็นธรรม จนบ่อยครั้งใช้กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกหา จึงพาให้ยิ่งห่างไกลความเป็นธรรม
คนฉลาด ชอบสร้างความเป็นธรรม ปั้นแล้วปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด เพราะความเป็นธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับปรารถนาของใคร จึงเป็นความหวังดีที่ล้มเหลวเรื่อยไป
คนเจ้าปัญญา ชอบประพฤติธรรม ดำรงอยู่และดำเนินไปโดยธรรม จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม
- ว่าด้วยการบริหารอารมณ์
คนโง่ มักจมอยู่ในอารมณ์ ด้วยคิดว่าอารมณ์คือเขา เขาคืออารมณ์ เขาจึงเป็นทาสของอารมณ์เสมอ
คนฉลาด ชอบปฎิเสธอารมณ์ เพราะคิดว่าอารมณ์คือสิ่งรบกวน ทำตัวเป็นคนสงบที่ไร้อารมณ์ เขาจึงเป็นเพื่อนกับผีดิบ
คนเจ้าปัญญา ย่อมบริหารอารมณ์ สร้างอารมณ์ที่ควรสร้าง เสพอารมณ์ที่ควรเสพ ควบคุมอารมณ์ที่ควรควบคุม รักษาอารมณ์ที่ควรรักษา สลายอารมณ์ที่ควรสลาย เขาจึงเป็นนายของอารมณ์โดยสมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น