วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ธรรมะ เรื่องหยุดทำร้ายตัวเอง


ธรรมะ เรื่องหยุดทำร้ายตัวเอง

มนุษย์เรา มีอารมณ์และความรู้สึกอันหลากหลาย
แต่ละอารมณ์ จะสนองตอบตามความเคยชินของสิ่งที่กระทบ
โกรธ เมื่อมีคนมาด่าว่า หรือนินทา
ชื่นชอบ พอใจ เมื่อคำเยินยอหรือสรรเสริญ เอ่ยถึงชื่อตน
แต่สิ่งเหล่านี้ก็มิได้อยู่กับเรา คงทนหรือถาวร
มีเกิดขึ้น...แล้วหายไป...เกิดขึ้น....แล้วดับไป
เป็นเช่นนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า

ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามกฏแห่งธรรมชาติ (ธรรมะ)
มิได้เป็นไปตามความต้องการของใจ
เราโกรธเขา เกลียดเขา ว่าร้ายเขา
ด้วยคิดว่าได้ความสะใจ สาสมใจ ที่ได้โกรธ ได้เกลียด
และคิดว่าตนเองอยู่เหนือเขา ชนะเขา
แต่หารู้ไม่ว่า ความรู้สึกและอารมณ์นั้นๆ....
กำลังข่มขี่ และทำร้ายตัวเราเอง....
ให้เราเป็น...ผู้แพ้

เมื่อใดก็ตาม ที่เราโกรธ เกลียด เพ่งโทษ มุ่งร้าย....ใครสักคน
ตอนนั้นเอง เราหาได้ทำร้ายคนที่เราโกรธหรือเกลียดไม่
แต่เรากำลังทำร้าย และข่มเหงตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว
และความรู้สึก และอารมณ์นั้นๆ ก็มิได้เป็นความสุขสงบเย็น
และทำให้ผู้ถือมั่นในอารมณ์ และความรู้สึกเช่นนี้ก็จะสะสมพอกพูน....
ความน่ารังเกลียดให้กับตนเอง

การอภัย และอโหสิกรรมให้กับเขาผู้ล่วงละเมิดเรา
แม้คนๆ นั้นจะเคยเป็นศรัตรู หรือเคยทำร้ายเราก็ตามที
เพื่อจะได้ปลดปล่อยตัวเราเองจาก "ตนนั่นแหล่ะที่ทำร้ายตนเอง"
นี่คือ ผลบุญที่เห็นทันตาของการให้อภัยไม่ถือสา
แต่เป็น "อุเบกขา"ด้วยความเข้าใจทั้งทางโลกและทางธรรม ธรรมะ
ศัตรูก็คือใจของเรานั้นเอง อยากชนะสื่งใดจงชนะใจตนเองให้ได้ก่อน เป็นนายของใจให้ได้ก่อน ชีวิตจะพบความสำเร็จได้ไม่ยากเลย

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ธรรมะสอนใจ ว่าด้วยคนโง่ คนฉลาด และคนเจ้าปัญญา


ธรรมะสอนใจ ว่าด้วยคนโง่ คนฉลาด และคนเจ้าปัญญา

- ว่าด้วยความเก่งกาจ
คนโง่  มัวอวดเก่ง จึงไม่มีใครเติมความเก่งให้กับเขาอีก
คนฉลาด  ชอบเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเก่งให้ยิ่งขึ้น และเอาความเก่งมาใช้โดยไม่อวด จึงได้ผลงานดี แต่อาจไม่ทุกเรื่อง และอาจไม่ยั่งยืน
คนเจ้าปัญญา  หาความเก่งไม่เจอ แต่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมเสมอ เพราะมองเห็นทุกอย่างในตนและนอกตนเป็นธรรมดา ทุกคุณสมบัติจึงเป็นปกติ และ ยั่งยืนสำหรับเขา

- ว่าด้วยจรรยามารยาท
คนโง่  แข็งกระด้าง จึงล้มเหลว ดั่งเปลือกไม้ร่วงหล่นลงสู่ดิน
คนฉลาด  ยืดหยุ่น จึงกระจายตนไปในสถานการณ์ต่างๆ ดั่งรากไม้แผ่ซ่านไปในผืนปฐพี
คนเจ้าปัญญา  อ่อนโยน จึงเจริญงอกงาม ดั่งยอดไม้ที่ทะยานขึ้นสู่ที่สูง

- ว่าด้วยความรักสัมพันธ์
คนโง่  ชอบขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ
คนฉลาด  ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนื่องๆ
คนเจ้าปัญญา  ชอบให้ปัญญา ที่จะให้ทุกคนรักและเข้าใจตนเอง จึงได้รับความนับถือและความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ

- ว่าด้วยแหล่งมิตรภาพ
คนโง่   ชอบหาเพื่อนจากวงเหล้า หรือแหล่งอบายมุข จึงได้แต่มิตรเทียม ที่นำภัยมาสู่ชีวิต และ ต้องแตกแยกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
คนฉลาด   ชอบหาเพื่อนจากงาน จึงได้มิตรดีร่วมอุดมการณ์ แต่เมื่องานหมดหรือล้มเหลว มิตรดีเหล่านั้นก็อันตรธานไป และ บางคนก็ผันมาเป็นศัตรูหรือคู่แข่ง
คนเจ้าปัญญา   ชอบหาเพื่อนจากธรรมสภาวะ จึงได้มิตรแท้ที่มีรสนิยมเหนือเงื่อนไขทางโลก ความสัมพันธ์จึงสะอาด และ มีแนวโน้มนิรันดร

- ว่าด้วยความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์
คนโง่  มองแต่ความชั่วร้ายในคนอื่น จึงหยิบยื่นแต่โทษให้แก่กัน และได้รับความทุกข์ตรมเป็นของกำนัล
คนฉลาด  มองแต่ความดีในคนอื่น จงหยิบยื่นคุณค่าให้แก่กัน และได้รับความสุขระคนทุกข์อันประณีต เป็นของกำนัล
คนเจ้าปัญญา  มองทั้งความดีและความชั่วในทุกตัวคน จึงควบคุมโทษแม้เล็กน้อย ที่อาจเกิดระหว่างกัน แล้วหยิบยื่นคุณค่าให้เพื่อการพัฒนาร่วมกัน ปฏิสัมพันธ์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องและได้รับความ เจริญรุ่งเรืองยั่งยืนเป็นกำนัล

- ว่าด้วยวัฒนธรรมสัมพันธ์
คนโง่  เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา ก็ทำสืบๆกันไป โดยไม่ได้ตรวจสอบประเมินคุณค่าใดๆ จึงผิดๆ ถูกๆ
คนฉลาด  เห็นอะไรที่ทำสืบๆ กันมาก็ยังไม่ทำสืบๆกันไป ทำการตรวจสอบประเมินคุณค่าก่อน จึงจะทำสืบๆกันต่อไป จึงได้ประโยชน์ชัดเจน
คนเจ้าปัญญา  เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา และ สืบๆกันไป ก็พยายามพัฒนาต่อเพื่อสิ่งที่ดีกว่า จึงได้ความเจริญโดยลำดับ

- ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ
คนโง่  เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก
คนฉลาด  กตัญญูผู้มีบุญคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รุ้จบ
คนเจ้าปัญญา  ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่อง ทุกฝ่ายจึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

- ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา
คนโง่  พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย
คนฉลาด  พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา
คนเจ้าปัญญา  พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น


- ว่าด้วยการบริหารและการปกครอง
คนโง่  พยายามบริหารคน จึงวุ่นวายสับสนตามธรรมชาติของคน
คนฉลาด  พยายามบริหารประโยชน์สัมพันธ์ จึงยุ่งยากซับซ้อนตามปรารถนาอันไม่สิ้นสุด
คนเจ้าปัญญา  พยายามบริหารระบบธรรม จึงสงบลงตัว ณ จุดพอดี

- ว่าด้วยความคิด!!!
คนโง่  เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย
คนฉลาด   เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอมรับความจริงและแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ
คนเจ้าปัญญา  เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็นสัดส่วนการบริหารคนที่เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่วสากลให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป

- ว่าด้วยการบริหารธรรม
คนโง่  ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ
คนฉลาด  ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี
คนเจ้าปัญญา  ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!

- ว่าด้วยความเพียร
คนโง่  มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี
คนฉลาด  มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าห์ระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก
คนเจ้าปัญญา  ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป

- ว่าด้วยความจริงจัง
คนโง่  เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า
คนฉลาด  เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ
คนเจ้าปัญญา  เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว

- ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ
คนโง่  รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง
คนฉลาด  เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก
คนเจ้าปัญญา  ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า

- ว่าด้วยความรักและคู่รัก
คนโง่  กระหายคู่ จึงอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะไม่เป็นสุข ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเสมอ
คนฉลาด   ปฎิเสธคู่ จึงเป็นสุขเมื่ออยู่คนเดียว และเป็นทุกข์เมื่ออยู่กับคนอื่น และหากยังต้องพึ่งพิงก็ยิ่งระทม และขมขื่น
คนเจ้าปัญญา  ไม่แสวงหา แต่ก็ไม่ปฎิเสธคู่ที่พึงมี หากมีคู่ก็ประคับประคองกันไปสู่ชีวิตที่สูงส่งยิ่งขึ้นทั้งคู่ จึงอยู่คนเดียวก็ได้เป็นสุขดี อยู่กับคู่ก็ดีเป็นสุขได้

- ว่าด้วยสัจจสัมพันธ์
คนโง่  ไม่รักษาสัจจะ จึงไม่มีใครเชื่อถือ ตนก็ไม่อาจเคารพในตนได้
คนฉลาด   คลั่งไคล้สัจจะ แยกไม่ออกระหว่าง ประโยชน์และโทษของสัจจะแต่ละระดับ.....จึงมักพาตนและพาคนอื่นติดกับดักแห่ง ความจริงโดยไม่ตั้งใจ
คนเจ้าปัญญา   ทำสัจจะกับปัญญาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงมีสัจจะรักษา และมีอำนาจพิเศษยิ่งกว่าคนทั่วไป

- ว่าด้วยความเป็นไปได้
คนโง่  ชอบคิดว่าทุกสิ่งที่หวังเป็นไปไม่ได้ จึงขังตนเองในความเกียจคร้าน ชีวิตต่ำต้อย
คนฉลาด  ชอบคิดว่า ทุกสิ่งที่หวังเป็นไปได้ จึงทะยานไปในตัณหาไม่รู้จบ ชีวิตกระเจิดกระเจิง
คนเจ้าปัญญา   ย่อมเห็นว่าในบรรดาสิ่งที่หวัง บางสิ่ง เป็นไปไม่ได้ บางสิ่งเป็นไปได้ ในบรรดาสิ่งที่เป็นไปไม่ ได้ทั้งหมดนั้น บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ถาวร บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราว และในบรรดาสิ่งที่เป็นไปได้ถาวรนั้น บางสิ่งก็ไม่มีประโยชน์ บางสิ่งมีประโยชน์ เขาจึงปรับความหวังให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่มีประโยชน์ และปรับสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราวให้เป็นไปได้มากขึ้น ชีวิตจึงอยู่กับความสมหวังและการพัฒนาโดยลำดับ

- ว่าด้วยพันธสัญญา
คนโง่  ไม่กล้ารับปากใครแม้กับตนเอง จึงไม่ได้รับความเชื่อถือแม้ต่อตนเอง
คนฉลาด   รับปากเรื่อยไปในทุกเรื่อง ต้องเพียรพยายามทำตามสัญญาด้วยความเหนื่อยยาก และทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้รับความเชื่อถือบ้าง ไม่เชื่อถือบ้าง
คนเจ้าปัญญา   ชวนทุกคนที่เกี่ยวข้องร่วมพันธสัญญาจึงได้พลังร่วมของส่วนรวมที่จะขับเคลื่อนภารกิจไปสู่ความสำเร็จ

- ว่าด้วยผู้พูด
คนโง่ ชอบให้อารมณ์พูด จึงผิดพลาดมากล้มเหลวบ่อย
คนฉลาด ชอบใช้เหตุผล จึงถูกต้องมากแต่มักไร้ความรู้สึก และประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง
คนเจ้าปัญญา ชอบใช้ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์ เหนือถูกผิด และเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม

- ว่าด้วยความเป็นธรรม
คนโง่  ชอบเรียกหาความเป็นธรรม จนบ่อยครั้งใช้กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกหา จึงพาให้ยิ่งห่างไกลความเป็นธรรม
คนฉลาด  ชอบสร้างความเป็นธรรม ปั้นแล้วปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด เพราะความเป็นธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับปรารถนาของใคร จึงเป็นความหวังดีที่ล้มเหลวเรื่อยไป
คนเจ้าปัญญา  ชอบประพฤติธรรม ดำรงอยู่และดำเนินไปโดยธรรม จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม

- ว่าด้วยการบริหารอารมณ์
คนโง่  มักจมอยู่ในอารมณ์ ด้วยคิดว่าอารมณ์คือเขา เขาคืออารมณ์ เขาจึงเป็นทาสของอารมณ์เสมอ
คนฉลาด   ชอบปฎิเสธอารมณ์ เพราะคิดว่าอารมณ์คือสิ่งรบกวน ทำตัวเป็นคนสงบที่ไร้อารมณ์ เขาจึงเป็นเพื่อนกับผีดิบ
คนเจ้าปัญญา   ย่อมบริหารอารมณ์ สร้างอารมณ์ที่ควรสร้าง เสพอารมณ์ที่ควรเสพ ควบคุมอารมณ์ที่ควรควบคุม รักษาอารมณ์ที่ควรรักษา สลายอารมณ์ที่ควรสลาย เขาจึงเป็นนายของอารมณ์โดยสมบูรณ์

กลอนธรรมะ เกิดมาเป็นมนุษย์ยากที่สุด


กลอนธรรมะ เกิดมาเป็นมนุษย์ยากที่สุด

กลอนธรรมะนี้มีความหมายเกี่ยวกับการเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ควรทำอย่างไรควรปฏิบัติอย่างไร นำมาสอนแบบกลอนธรรมะอ่านฟังง่ายสบายสมองแต่แทรกหลักธรรมะได้อย่างดี มาผ่อนคล้ายกับกลอนธรรมะสอนใจกัน

เกิดมาเป็นมนุษย์ ยากที่สุด พระท่านว่า
เกิดมาจะมัวหา กิเลศหนามาใส่ตน
เกิดมาจะหาสุข มันปนทุกข์ หนีไม่พ้น
เกิดมามาเป็นคน ก็ต้องค้นกันต่อไป
เกิดมามีทางเลือก แล้วแต่เลือกเดินทางไหน
เกิดมาต้องรู้ใจ เกิดทำไมมาเป็นคน
เกิดมาเฝ้าหาสุข มันเป็นสุขหรือทุกข์ล้น
เกิดมามารผจญ ก็ต้องทนทำความดี
เกิดมาคับแค้นใจกดทับไว้ไม่สุขขี
เกิดมาอยากได้ดี ก็ต้องมีพยายาม
เกิดมามันมีจิต มันต้องคิดหนึ่งสองสาม
เกิดมาต้องห้ามปราม จิตเลวทรามพาทุกข์ทน
เกิดมาต้องการสุข ต้องรู้สุขที่สุขล้น
เกิดมามาเป็นคน ต้องทำคนเป็นคนดี

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

ธรรมะสอนใจ 20 ข้อ จาก ท่าน ว.วชิรเมธี


ธรรมะสอนใจ 20 ข้อ จาก ท่าน ว.วชิรเมธี

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

ธรรมะ บทความธรรมะสอนใจ กับการดำเนินชีวิต



เห็นธรรมเพียง 1นาที มีค่ามากกว่า...

การปฏิบัตินั้นไม่ใช่เข้าวัด ใส่บาตร ฟังเทศน์ ทำวัตรสวดมนต์เท่านั้น 

ปฏิบัติที่แท้จริงนั้นคือ การพูด การคิด การกระทำ ให้อยู่ในทำนองคลองธรรม สำหรับบางคนไม่เคยเห็นพระ แต่การพูด การคิด การกระทำ แล้วมีโทษน้อยๆ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ จิตใจบริสุทธิ์นั่นแหละกรรมดี

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า 
เมื่อใจดี ใจบริสุทธิ์ 
พูดก็ดี ทำก็ดี ดีไปหมด มีความสุข 

ในความเป็นชาวพุทธ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เชื่อหลักวัฏฏสงสารมีจริง เชื่อหลักกฎแห่งกรรม เชื่อหลักอริยสัจ 4

บางคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ แต่ยังใจร้อน เข้าใจหลักธรรมดีพอสมควร และพยายามปฏิบัติธรรมอยู่ แต่สติปัญญาที่จะคุ้มครองอารมณ์ก็ยังไม่เพียงพอ เลยกระทบคนอื่น รู้สึกตัวอยู่ว่าผิด พยายามแก้ไขอยู่ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติคงจะแย่กว่านี้มาก บุคคลประเภทนี้ควรแก่การยกย่อง กำลังพัฒนาตน ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่คนอื่นอาจจะมองไม่เห็น เพราะกระทบอารมณ์และกำลังถูกดูหมิ่น ดูถูก นินทา อยู่

บางคนตั้งแต่กำเนิดมีนิสัยเรียบร้อย ใจเย็น ใจดี อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ค่อยกระทบกับใคร ไม่ได้ศึกษาธรรม ก็เหมือนรักษาศีลอยู่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานบางตัวก็เหมือนกัน เช่น หมา นิสัยดี ว่าง่าย สอนง่าย เรียบร้อย น่ารัก

มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง สมัยก่อน มีคุณนายผู้ดีคนหนึ่ง นิสัยดี ใจดี ใจมีเมตตา ใครมีทุกข์ลำบาก ก็ช่วยเหลือทุกคน ชาวบ้านต่างก็ชม สรรเสริญว่า คุณนายใจดี วันหนึ่งสามีเสียชีวิตไป เด็กรับใช้นึกสงสัยขึ้นมาว่า นายของเราเป็นคนดีจริงหรือเปล่า เลยลองดู ไม่เชื่อฟัง และด่านาย คุณนายใจดีแสดงอาการโกรธ โมโห เลยเข้าใจว่า คุณนายทำตัวเป็นคนดี ใจดีได้เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีเงินมีทองมากมาย สามีรัก ใครๆ ก็เอาใจดูแล ชื่นชม สรรเสริญ

เราจะรู้จักตัวเองได้เมื่อเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ทำใจได้ดีจึงจะเป็นคนดีจริง ถ้าพูดถึงตามหลักทั่วๆ ไปแล้ว การปฏิบัติธรรมเป็นประจำดีกว่า เพราะการฟังธรรมตามกาล การสนทนาธรรมตามกาล เป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ เพราะมีโอกาสที่จะมีความเห็นถูกต้อง มีโอกาสที่จะอบรมสัมมาทิฏฐิ กิเลสหรืออารมณ์ร้อนเป็นคนละเรื่องกัน

สรุปแล้วคนที่ไม่ปฏิบัติ แต่ใจดีแล้ว ก็น่ายินดีอนุโมทนา คนที่ชอบเข้าวัด ฟังเทศน์ ปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา น่าสรรเสริญทั้ง 2 ฝ่าย

ธรรมเป็นสิ่งอัศจรรย์ มหาโจรองคุลีมาลฆ่าคนถึง 999 คน ยังสามารถกลับใจเป็นดี เป็นพระอรหันต์ได้ เป็นสุดยอดคนดี เพราะอาศัยธรรมะ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การปรารภความเพียรเพียงราตรีเดียวมีค่ามากกว่ามีชีวิต 100 ปีแต่ปราศจากความเพียร คนที่เห็นธรรม 1 นาที มีค่ามากกว่าคนอายุ 100 ปีแต่ไม่เห็นธรรม



ความรัก


ความรักคืออะไร


ที่จริงมันมีนิยามเป็นร้อยเป็นพัน แล้วแต่ใครจะคิดขึ้นมา ได้เช่นว่า "ความรักคือการให้" หรือ "ความรักคือความเข้าใจกัน" หรือ "ความรักคือการไม่หวังสิ่งใดจากคนที่เรารัก แต่ขอให้เขานั้นมีความสุข เราก็พอใจแล้ว"
Be mine valentine

..........บางคนนิยามความรักได้อย่างน่ารักแต่เป็นความจริง คือ "ความรักเหมือน หวย มีสิทธิแทงไม่ถูกมากกว่าแทงถูก " หรือหากเป็นวัยรุ่นสมัยนี้ อาจนิยามความรักว่า "ความรักก็คือ การทดลองอยู่ด้วยกัน หากเข้าใจกันไม่ได้ ก็หาใหม่ได้ สรุปสั้นๆคือ ความรักคือการทดลอง" หรือแม้แต่บางคนอาจนิยามความรักว่า "ความรักคือเซ็กส์" แม้แต่ในทางพุทธศาสนายังกล่าวถึงความรักว่า "ที่ไหนมีความรัก ย่อมเกิดความทุกข์"
ความรัก มีนิยามร้อยแปดพันเก้า เรามาวิเคราะห์ ในเรื่องของความรักกันอย่างถ่องแท้ดีกว่า
..........ไม่จำเป็นที่จะต้องมีบุคคลที่ 2 หรือ 3 หมายถึงคนเราสามารถก่อให้ เกิดความรักได้โดยลำพัง เช่น การรักตัวเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะลืม อยู่เสมอ ไปรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง ทำให้เกิดปัญหาการฆ่าตัวตาย อย่างมากมายในสังคมปัจจุบัน
..........แน่นอน ความรัก คือความคิดถึง ความเป็นห่วง เป็นความรู้สึกที่สรรค์ สร้างโลกนี้ให้น่าอยู่มาก การที่คนเรามีคนคิดถึง หรือเป็นห่วง ย่อมทำให้ ตนมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าอย่างน้อยยังมีค่าต่อใครบางคน
..........เมื่อมีความรักเกิดขึ้น จะมองเห็นโลกนี้เป็นสีชมพู ดูสวยงาม แต่ควร ตั้งสติซักนิดว่าความรักสามารถจะจากเราไปได้เสมอ ตลอดเวลา และมัน คือสัจธรรมของชีวิต โอเคละ คงต้องเสียใจกันทุกคน แต่ต้องคำนึงว่านั้น มันไม่ใช่วันสิ้นโลก หรือขนาดที่ต้องเขียนกลอนออกมาว่า "ดอกรักบาน ในใจใครทั้งโลก แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน"
..........ความรัก เป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่าเหตุผล ข้อนี้หลายคนคงเถียง แต่เชื่อเถอะ คนบางคนรักใครขึ้นมา ถามว่ารักเขาเพราะอะไร กลับต้อง ใช้เวลาคิดนานมาก คนบางคนที่ดีเพียบพร้อมทุกอย่าง เรากลับไม่รัก ไปรักอีกคนที่หากใช้เหตุผลนานาประการแล้วคงไม่เลือก หรืออย่างผัวเมีย ที่ตีกันอยู่ทุกวัน แต่ไม่เห็นเขาจะหย่ากัน เพราะถามเขาว่ารักกันไหม ต่างก็ตอบว่ารัก แต่ผัวเมียบางคู่ทะเลาะกันดูเหมือนไม่รุนแรง กลับหย่า กันเสียได้ แถมหลังจากนั้นกลับเป็นศัตรูคู่อาฆาต ชนิดที่ว่าตายไปก็ไม่เผา ผีกันเลยทีเดียว
..........ความรัก นี้มันประหลาด ลึกลับ และมีพลัง พลังของความรักนี้สามารถ ทำได้ทุกอย่าง อย่างกรณีทัชมาฮาล ที่อินเดียก็เป็นอนุสรณ์แห่งความรัก หรืออย่างการล้มสลายของราชวงศ์ต่างๆของจีน สืบเนื่องมาจากความรัก ทั้งนั้น ความรักเหมือนเป็นพลังแห่งการสร้างในทางกลับกันเป็นพลังแห่ง การทำลายที่รุนแรง
..........ความรัก ไม่จำกัดในเรื่องเวลาหรือสถานที่ ประเภทที่ว่ารักกัน 10 ปียัง ไม่แต่งงาน หรือบางคนรักกันเพียงเดือนสองเดือน กลับตกลงจะ แต่งงานกันแล้ว แถมระยะเวลาของความรักก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยืนยันว่า ความรักจะยั้งยืนกว่าคนที่รักกันไม่นานแล้วแต่งงานกัน ส่วนเรื่องสถานที่ บทจะปิ๊งใครซักคน เดินผ่านหน้าห้องน้ำยังปิ๊งได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน สถานที่โรแมนติกเลย
..........ความรัก เป็นสิ่งน่าดึงดูด รู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสที่จะทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่ก็ยังรักอยู่นั้นแหละ บางคนอกหักแล้วอกหักอีก ก็ยังแสวงหาความรัก ต่อไป หรือจะถือคติอย่างเพลงของพี่สายันต์ สัญญา ที่ว่า "อกหักเพียง (สิบ)ครั้ง ยังไม่ตาย"

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

สึนามิคืออะไร


สึนามิ" (Tsunami) เป็นคลื่นใต้น้ำที่มีขนาดใหญ่ เกิดจากเหตุแผ่นดินไหวหรือการเคลื่อนตัวของผิวโลกใต้น้ำ เริ่มแรกสึนามิ จะมีขนาดเพียงไม่กี่นิ้ว โดยคลื่นสึนามินี้เคลื่อนตัวได้เร็วมาก โดยมีความเร็วประมาณ 1,000 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อถึงชายฝั่งจะมีขนาดสูงขึ้นบางครั้งสูงถึง 35 เมตร แต่ความเร็วก็จะลดลงด้วยเช่นกัน แต่ก็สามารถทำลายทรัพย์สิน บ้านเรือน สิ่งกีดขวาง ให้หายไปในพริบตา
4.2 การป้องกันภัยจากสึนามิ
     การป้องกันภัยจากสึนามิอาจกระทำได้ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน  ซึ่งต้องให้ความร่วมมือกันดังนี้
          ภาครัฐ
     1. จัดวางผังเมืองให้เหมาะสม โดยพิจารณาจัดให้แหล่งที่อยู่อาศัยอยู่บริเวณที่ห่างจากชายฝั่งทะเล
     2. ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องการป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ และแผ่นดินไหว
     3. จัดให้มีการฝึกซ้อมรับภัยจากคลื่นสึนามิ
     4. วางแผนในเรื่องการอพยพผู้คน การกำหนดสถานที่ในการอพยพ การเตรียมแหล่งสะสมน้ำสะอาด  การจัดเตรียมบ้านพักอาศัยชั่วคราว การระสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขณะเกิดภัย การกำหนดขั้นตอน หรือวิธีการชวยเหลือบรรเทาภัยด้านสาธารณสุข การรื้อถอนและฟื้นฟูสิ่งก่อสร้าง
     5. หลีกเลี่ยงการก่อสร้างใกล้ชายฝั่งทะเล ในเขตที่มีความเสี่ยงภัยจากคลื่นสึนามิสูง
     6. จัดให้มีศูนย์เตือนภัยจากคลื่นสึนามิ
     7. มีการประกาศเตือนภัย
          ภาคเอกชน
     1. ควรให้การสนับสนุนภาครัฐและประชาชนในเรื่องการประชาสัมพันธ์ หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน ในเรื่องการป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ
     2. ให้การสนับสนุนด้านการเงิน เพื่อใช้ในการป้องกันภัยสึนามิ และการช่วยเหลือหลังเกิดภัยพิบัติขึ้น
     3. ให้การสนับสนุนด้านกำลังคนในการช่วยเหลือ กรณีเกิดภัยจากสึนามิ
          ภาคประชาชน
     1. ควรติดตามการเสนอข่าว หรือประกาศเตือนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
     2. รู้จักสังเกตปรากฏการณ์ของชายฝั่ง ถ้าน้ำทะเลลดระดับลงมามากหลังเกิดแผ่นดินไหว ให้สันนิษฐานว่า อาจเกิดคลื่นสึนามิตามมาได้ ให้รีบอพยพคนในครอบครัว หรือสัตว์เลี้ยง ให้อยู่ห่างจากชายฝั่งมาก ๆ ควรอยู่ในที่ดอนหรือที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง
     3. กรณีที่อยู่ในเรือ ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าเรือหรืออ่าวให้รีบนำเรือออกไปกลางทะเล เมื่อทราบว่าจะเกิด คลื่นสึนามิพัดเข้าหา
     4. หากเกิดภัยจากคลื่นสึนามิ พยายามตั้งสติให้มั่น เพื่อเตรียมรับสถานการณ์
     5. อย่าลงไปชายหาดเพื่อไปดูคลื่นสึนามิ เพราะเมื่อเห็นคลื่นแล้วก็จะไม่สามารถวิ่งหลบหนีได้ทัน
     6. ไม่ควรประมาท กรณีที่มีข่าวว่าจะเกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็ก เนื่องจากคลื่นสึนามิในบริเวณหนึ่ง อาจมีขนาดเล็ก แต่ว่าอีกบริเวณหนึ่งอาจมีขนาดใหญ่ก็ได้
     7. คลื่นสึนามิสามารถเกิดขึ้นได้อีกหลายระลอก จากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งเดียว เนื่องจากการ แกว่งไปแกว่งมาของน้ำทะเล ถ้าจะลงไปชายหาดให้รอสักระยะหนึ่ง เพื่อให้แน่ว่าปลอดภัยจากคลื่นแล้ว

ภาวะโลกร้อน


ภาวะโลกร้อน
            ภาวะโลกร้อน หมายถึง ภาวะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ภาวะโลกร้อนอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อพืช สัตว์ และมนุษย์
           ที่มาของภาวะโลกร้อน
           ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) คือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากผลของภาวะเรือนกระจก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า Greenhouse Effect โดยภาวะโลกร้อน ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ, การขนส่ง และการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม

การแก้ปัญหาภาวะโรคร้อน


ปัญหาภาวะโลกร้อน

นักอนุรักษ์โลก (Global Preservationists) ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวิทยาศาสตร์ กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรโลก กลุ่ม Green Peace หรือกลุ่มอื่นๆ ได้สังเกตภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโลก โดยสังเกตจากอุณหภูมิสูงขึ้น คลื่นความร้อนรุนแรงขึ้น ภัยแล้ง น้ำท่วม พายุ ฤดูกาลแปรปรวน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และภัยพิบัติต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นถี่ในระยะนี้ แต่ละเหตุการณ์นั้นได้ทำลายชีวิตและทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก เมื่อตรวจสอบสาเหตุหลักๆ ก็พบว่า หนึ่งในสาเหตุทั้งหลายก็คือ ภาวะก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Effect) และภาวะเรือนกระจกนี้ได้ คือ ปัญหาภาวะโลกร้อน
การแก้ปัญหาภาวะโรคร้อน

“ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุและความดับของธรรมนั้น” ที่ขึ้นต้นด้วยข้อความนี้ซึ่งเป็นข้อความที่พระอัสสชิแสดงต่ออุปติสสะ (พระสารีบุตร) ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งที่เกิดมาเหตุทั้งนั้น การจะดับสิ่งที่เกิดก็ต้องดับที่เหตุ ด้วยเหตุนี้การแก้ภาวะโลกร้อน ก็คือการดับภาวะโลกร้อน การจะแก้สิ่งใด ก็แก้สาเหตุนั้น

มนุษย์ต้องทำความเข้าใจกฎของธรรมชาติ สิ่งใดมีเหตุ สิ่งนั้นก็ต้องมีผล เมื่อกฎเหล่านี้ถูกแทรกแซง ผลก็ต้องปรากฏไปตามกฎของมัน ไม่มีทางหลีกเลี่ยง เป็นความแน่นอน ในขณะเดียวกัน ถ้าหากปฏิบัติตามกฎ รู้เหตุรู้ผล ก็ทำให้แก้ไขปัญหาได้ ในพระพุทธศาสนาได้แสดงกฎของธรรมชาติ เรียกว่า นิยาม คือ ความแน่นอน ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ มี ๕ ประการ คือ
๑) อุตุนิยาม คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะดินน้ำอากาศ และฤดูกาล อันเป็นสิ่งแวดล้อมสำหรับมนุษย์ (Physical laws)

๒) พีชนิยาม คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ มีพันธุกรรม สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย (Biological Laws)

๓) จิตตนิยาม คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงาน หน้าที่ของจิต (Psychic Law)

๔) กรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ กระบวนการให้ผลของการกระทำ (Karmic Laws)

๕) ธรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์และอาการที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กันแห่งสิ่งทั้งหลาย (Causality and Conditionality Laws)

สาเหตุมีทั้งสาเหตุภายในคือ สาเหตุจากมนุษย์เอง และสาเหตุภายนอก คือสาเหตุจากความเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งสองสาเหตุนั้น เมื่อมาพิจารณาก็สามารถที่จะดับสาเหตุภายในได้ สาเหตุภายนอกนั้นทำไม่ได้ เปรียบเหมือนตัวอย่างที่ได้ยกแสดงไว้ตั้งแต่ต้นว่า เปรียบเหมือนร่างกายที่ทรุดโทรมไปในแต่ละวัน เราไม่สามารถห้ามสาเหตุที่เป็นกฎธรรมชาติอย่างนั้นได้ ร่างกายนี้ต้องทรุดโทรมไป เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมดา และในที่สุดก็ต้องแตกสลายไป เป็นของเที่ยงแท้แน่นอน โลกและจักรวาลก็เช่นเดียวกันก็ต้องถึงกาลที่จะสิ้นสูญไปตามธรรมดาขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

ผู้เป็นโรคจะแก้ปัญหาได้ก็คือ แก้จากภายใน โดยการดูแลรักษาโรคที่เกิดขึ้นแล้ว ป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นใหม่ ดูแลรักษาสุขภาพอนามัยให้สมบูรณ์เพื่อไม่ให้โรคเข้ามาได้ง่าย โลกก็เหมือนกันแก้ได้โดยวิธีนี้ รักษาโรคของโลกที่เป็นอยู่แล้วคือพิษร้ายทั้งหลายที่ทำลายระบบนิเวศของโลก ป้องกันภัยไม่ให้เกิดโรคขึ้นใหม่โดยการไม่ให้มีแหล่งพิษภัยเหล่านั้นอีก จากนั้นก็ทำสุขภาพของโลกให้ดีโดยการช่วยกันดูแลรักษาระบบนิเวศของโลกให้ดำเนินไปตามปกติ

ภาวะโลกร้อนในความหมายทางพระพุทธศาสนาโลกนั้นหมายเอาโลกคือชีวิต ชีวิตก็คือโลก ได้แก่ ชีวิตของสรรพสัตว์นั่นเอง การดับภาวะโลกร้อนก็คือ การดับภาวะที่ชีวิตนี้รุ่มร้อน ชีวิตที่ถูกเผาผลาญด้วยพลังแห่งกิเลสทั้งหลาย จะดับภาวะโลกร้อนนี้ได้ที่ไหน ก็ดับที่สาเหตุ ได้แก่ ความยากทั้งหลาย หรือดับตัณหานั่นเอง เมื่อตัณหาดับภาวะแห่งโลกร้อนก็ดับ นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกจุดที่สุด

ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาของโลกที่เกี่ยวข้องและกระทบกับทุกส่วนของสรรพสิ่งบนโลก ปัจจัยหลักอยู่ที่ความผิดปกติของสภาพภูมิอากาศ สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเช่นนี้ขึ้นกับโลกนั้นเป็นปัจจัยทั้งทางการเปลี่ยนแปลงของโลกและการกระทำของมนุษย์ แน่นอนว่า ทุกสิ่งนั้นมีความเกิดขึ้นและเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา แต่โลกที่เป็นโรคเพราะน้ำมือมนุษย์นั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการดูแลและรักษาโรคของโลกได้

วิธีรักษานั้นก็ต้องเริ่มที่เข้าใจระบบ ปรับพฤติกรรม และสร้างประโยชน์ หรือที่เข้าใจก็คือ แก้ไขได้ด้วยศีล สมาธิและปัญญานั่นเอง ทั้ง ๓ กรอบนี้สามารถแก้ไขได้ทั้งภาวะโลกร้อนและภาวะใจร้อน คือภาวะเรือนกระจกของโลกและของจิต

ภาวะเรือนกระจกของโลกคือ การอบขึ้นของปฏิกิริยาของก๊าซและไอน้ำ ภาวะเรือนกระจกของจิตคือ ปรากฏการณ์เรือนกิเลส ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ใดก็สร้างความเสียหายให้แก่โลกและจิตได้ทั้งนั้น จำเป็นต้องแก้ไขอย่าให้ปรากฏการณ์นี้เลวร้าย เผาไหม้โลกและมนุษย์ให้สิ้นไปเพราะน้ำมือของมนุษย์เอง

อย่าให้โลกนี้ต้องถูกเผารนด้วยไฟคือ ราคะ โทสะและโมหะ
เป็นภาวะโลกร้อนที่อันตรายและน่ากลัวอย่างยิ่ง ต้องรีบลดและขจัดออกไปให้หมดไป


รถแต่งสวยๆ










สวนสวยๆ

สวนสวยๆ




สวนสวยๆที่นิวซีแลนด์

ประทับใจสวนสวยๆน่ารักที่เมือง Tauranga ของนิวซีแลนด์จัง
ช่วงที่ไปเป็นช่วง Spring ใกล้จะเข้าฤดูร้อนแล้ว
มองไปทางไหนก็มีแต่สีสัน สดชื่นไปหมด




ที่นี่เป็นสวนผลไม้ (orchard) ที่ชานเมือง Tauranga (Te Puna)
ที่เห็นอยู่ข้างหลัง เป็นต้นกีวีฟรุ๊ต



ด้านหน้าของสวนผลไม้ เจ้าของจัดเป็นสวนดอกไม้ กว้างขวาง สวยสดชื่นมากๆ
และเปิดให้คนเข้ามาชมสวนได้





มีของตกแต่งน่ารักๆ อยู่ทั่วไปในสวน



เวลาเดินในสวนจะได้กลิ่นหอมหวานของดอกส้ม กระจายอยู่ทั่วไป
ชอบมากมากเลย






มีซุ้มดอกไม้สวยๆ 4-5 ซุ้ม
จะเอามาเป็นแบบทำที่สวนที่บ้านบ้าง





บ้านที่เราไปพักอยู่เกือบเดือน อยู่ชานเมือง Tauranga
เป็นย่านที่เงียบสงบมากๆ
มีคนทำสวนผลไม้หลายแห่ง พวก กีวีฟรุต อโวคาโด ส้ม



วิวหน้าบ้าน
ด้านซ้ายของรูปเป็นทางสาธารณะ ประมาณทางเท้า
ถ้าอยู่หน้าบ้านใคร เขาก้อจะดูแลกันอย่างดี
ตัดหญ้าเรียบร้อย ไม่รก
ถ้าไม่ใช่หน้าบ้านโดยตรง
ก็จะมีเจ้าหน้าที่ ขับรถตัดหญ้ามาตัดเตียนเรียบร้อยเช่นกัน



ใบไม้สีสวย

บ้านในฝัน

บ้านในฝัน







สำนวนไทย


สำนวนไทย

            เป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยเป็นพวกเจ้าบทเจ้ากลอน จะพูดจาหรือสั่งสอนใคร ก็มักจะอ้างเอาสำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่พูดต่อ ๆ กันมาตั้งแต่ครั้งโบราณมาเปรียบเทียบเปรียบเปรยเสมอ ซึ่งคำเหล่านี้มักจะเป็นคำที่คล้องจองกัน ทำให้จดจำได้ง่ายและเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

            ที่สำคัญ สำนวนไทยยังมีเสน่ห์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยการดึงเอาสิ่งที่อยู่รอบตัวมาเปรียบเทียบ ดังนั้น เราอาจพูดได้ว่า สำนวนไทยมีความผูกพันกับชีวิตของเราอย่างใกล้ชิด และยังให้ข้อคิดสอนใจ ซึ่งสำนวนไทยนั้นมีอยู่มากมาย แต่เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนอาจยังไม่เข้าใจความหมายของ สำนวนไทย บางคำ หรือบางประโยค แม้จะได้ยินอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม วันนี้ กระปุกดอทคอม มีเกร็ดความรู้เรื่องนี้มาฝากกันค่ะ

            สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงได้ตายตัว สลับที่หรือตัดตอนไม่ได้ มีความหมายเชิงเปรียบเทียบลึกซึ้งโดยครอบคลุมไปถึง ภาษิต สุภาษิต และคำพังเพย โดยสามารถแยกได้เป็น...

สำนวนที่มีเสียงสัมผัส

- เรียง 4 คำ ต้นร้ายปลายดี น้ำใสใจจริง
- เรียง 6 คำ ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาด บ้านเคยอยู่อู่เคยนอน
- เรียง 8 คำ รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
- เรียง 10 คำ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ
- เรียง 12 คำ ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน มีเงินเขานับว่าน้อง มีทองเขานับว่าพี่

สำนวนที่ไม่มีเสียงสัมผัส

- เรียง 2 คำ ชิมลาง ขบเผาะ
- เรียง 3 คำ ถ่านไฟเก่า คมในฝัก
- เรียง 5 คำ น้ำขึ้นให้รีบตัก ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
- เรียง 6 คำ ถ่มน้ำลายแล้วกลืนกิน ยกภูเขาออกจากอก

ที่มาของสำนวน

1 สำนวนที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่
ข้าวเหลือเกลืออิ่ม ทรัพย์ในดินสินในน้ำ บ้านเคยอยู่อู่เคยนอน

2 สำนวนเกี่ยวกับพืช
ขิงก็ราข่าก็แรง มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก ใบไม้ร่วงจะออกช่อ

3 สำนวนเกี่ยวกับสัตว์
โง่เง่าเต่าตุ่น ตีปลาหน้าไซ นกมีหูหนูมีปีก

4 สำนวนเกี่ยวกับนิทาน
กิ้งก่าได้ทอง กระต่ายตื่นตูม เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ชาวนากับงูเห่า


บทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว

บทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว

สมาชิกในครอบครัวแต่ละคนมีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกันออกไป ครอบครัวจะมีควานมสุขถ้าบุคคลในครอบครัวรู้บทบาทและปฏิบัติหน้าที่ของตน  ดังนี้
บทบาทและหน้าที่ของบิดามารดา
บิดามารดาเป็นบุคคลที่สำคัญของบ้าน  ซึ่งส่วนใหญ่บิดาจะทำหน้าที่เป็นผู้นำของครอบครัวหรือหัวหน้าครอบครัว เป็นที่พึ่งพาของสมาชิกในครอบครัว โดยทั่วไป บิดามารดามีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้
1. ประกอบอาชีพเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัวให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย
2. รับผิดชอบเลี้ยงดูบุตรหรือบุคคลในครอบครัวให้กินอยู่อย่างมีความสุข
3. ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เช่น ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ระบายอารมณ์กับบุตร ไม่นินทาให้ร้ายผู้อื่น ไม่เล่นการพนัน ไม่เสพสิ่งเสพติดและของมึนเมาทั้งหลาย เป็นต้น
4. ให้การอบรมบุตรหลานหรือบุคคลในครอบครัว ทั้งด้านจริยธรรม คุณธรรม เพื่อการเป็นคนดีในสังคม เช่น รู้จักคุณค่าของการประหยัด อดทน และปกิบัติตามหลักธรรมทางศาสนา เป็นต้น
5. ให้ความปลอดภัยแก่บุตรและบุคคลในครอบครัว  เช่น  ดูแลรักษาเมื่อบุตรเจ็บป่วย ให้ที่อยู่อาศัย ให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
6. ดูแลเอาใจใส่ให้ความรักความอบอุ่น  มีเมตรตา ไม่ใช้วาจาหยาบคาย ข่มขู่ ให้เกิดความหวาดกลัว หรืออับอายผู้อื่น รวมทั้งซักถาม และให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาต่างๆ
7. ให้การศึกษาต่อบุตร  เพื่อให้บุตรมีความรู้อันเป็นรากฐานถึงความมั่นคงในชีวิต
8. ปกครองดูแลบุตรด้วยความยุติธรรม  ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เช่น ไม่ลำเอียงเข้าข้างบุตรคนใดคนหนึ่ง
9. ส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพกาย  เช่น  ให้รู้จักเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนอย่างเพียงพอ
บทบาทและหน้าที่ของบุตร
บุตรเป็นแก้วตาดวงใจและเป็นความหวังของพ่อแม่ที่จะพึ่งพาอาศัยในยามเจ็บป่วย และแก่ชรา โดยปกติพ่อแม่ทุกคนอยากให้บุตรของตนเองมีความสุข มีอนาคตที่ดี ดังนั้นบุตรควรปฏิบัติตน ดังนี้
1. ให้การเคารพและเชื่อฟังบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ในบ้านทุกคน  มีสัมมาคารวะ มีมารยาทในการพูด ไม่แสดงกิริยาหยาบกระด้างต่อผู้อาวุโสและต่อบุคคลในครอบครัว
2. ช่วยเหลือการงานเท่าที่จะทำได้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานในครอบครัว  เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน เลี้ยงน้อง เป็นต้น
3. มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาหาความรู้  เพื่อความมั่นคงในอนาคต
4. ปฏิบัติตนเป็นคนมีระเบียบวินัย  ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือไม่สร้างความเสื่อมเสียให้ครอบครัว เช่น ไม่ลักขโมย ไมเที่ยวกลางคืน ไม่มั่วสุมกับเพื่อยต่างเพศและเสพยาเสพติด แต่งกายสุภาพตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เป็นต้น
5. มีความกตัญญู  รู้จักช่วยเหลือพ่อแม่หรือบุคลอื่นในครอบครัว เช่น ดูแลเมื่อเจ็บป่วย หรือรับใช้ผู้อาวุดสในบ้านซึ่งเป็นผู้มีพระคุณแก่เรา
6. ช่วยเหลือครอบครัวในด้านเศรษฐกิจ โดยไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยช่วยประหยัดหรือช่วยเพิ่มรายได้ เช่น ปลูกผักเพื่อประกอบอาหารในครอบครัว หรือจำหน่ายของขวัญในเทศกาลปีใหม่  เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

ศิลปะ-วัตนธรรม-ประเพณี จังหวัดร้อยเอ็ด


จังหวัดร้อยเอ็ด

ศิลปะ-วัตนธรรม-ประเพณี

ประเพณีบุญข้าวจี่ ของดีเมืองโพธิ์ชัย

บุญข้าวจี่เป็นงานบุญประจำเทศกาลของชาวอีสาน เป็นการทำบุญตามฮีต 12 (ฮีต หมายถึง จารีตประเพณี) ซึ่งกำหนดทำบุญในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 บุญข้าวจี่นี้ นับเป็นงานบุญพิเศษเทียบเท่าบุญผะเหวด และบุญกฐิน และมีความเชื่อว่า หากบ้านใดไม่ทำบุญข้าวจี่ อาจทำให้เกิดความเดือดร้อนในหมู่บ้านได้ ภายในงานมีกิจกรรมที่สำคัญคือ การประกวดข้าวจี่ยักษ์ ประกวดของดีเมืองโพธิ์ชัย อันได้แก่ ผ้าไหม หมอนขิต ผ้าขาวม้า การแสดงฟ้อน เซิ้งกระติบข้าว สถานที่จัดงานบริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอโพธิ์ชัย

งานประเพณีกินข้าวปุ้นบุญผะเหวด

เริ่มจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2534 และจะจัดเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 1-2 มีนาคมของทุกปี ณ บริเวณสวนสมเด็จฯ และบึงพลาญชัย บุญผะเหวด หรือทางภาคกลางเรียกว่าบุญมหาชาติ นิยมจัดในช่วงเดือนสี่ เป็นงานบุญที่พระเทศน์มหาเวสสันดรชาดก เรียกการเทศน์นี้ว่า เทศน์มหาชาติ มีการแห่ขบวนผะเหวด 13 ขบวน ตามกัณฑ์เทศน์มหาชาติ จากอำเภอและหน่วยงานต่างๆ บริเวณรอบบึงพลาญชัย ด้านในก็จัดเป็นร้านข้าวปุ้น (ขนมจีน) ไว้คอยบริการฟรีสำหรับผู้มาร่วมงาน

งานแข่งขันเรือยาวประเพณี

ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูน้ำหลาก คือช่วงเทศกาลออกพรรษา หรือช่วงประมาณวันที่ 15-31 ตุลาคม ของทุกปี ที่ตำบลเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย โดยเรือที่มาร่วมแข่งส่วนหนึ่งก็จะเป็นเรือของจังหวัดร้อยเอ็ด และอีกส่วนก็เดินทางมาจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น กาฬสินธุ์, มหาสารคาม, ศรีสะเกษ, และนครราชสีมา

ประเพณีแห่เทียนพรรษา

จัดขึ้นในวันอาสาฬหบูชาของทุกปี ณ บริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์โดยขบวนแห่ต้นเทียนแต่ละวัดซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกไม้สีสวยสด และสาวงามจะเคลื่อนขบวนจากคุ้มต่างๆ ผ่านตลาดไปยังบริเวณหน้าศาลาจตุรมุข ในบริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ เพื่อร่วมประกวดต้นเทียนและขบวนแห่ต้นเทียน โดยมีการรำเซิ้งแบบอีสานประกอบ

ประเพณีบุญบั้งไฟ

มีขบวนแห่บั้งไฟซึ่งจัดอย่างสวยงาม แสดงถึงประเพณีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน โดยเฉพาะที่อำเภอพนมไพร และอำเภอสุวรรณภูมิ มีขบวนแห่ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ ไม่แพ้ระดับจังหวัด ประชาชนภายในจังหวัดและจังหวัดข้างเคียงได้เดินทางมาชมเป็นจำนวนมาก จัดตามอำเภอต่างๆ ภายในจังหวัด ช่วงเดือนหกถึงเดือนเจ็ด

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา


วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

     วันมาฆบูชา     
ไม่ทำชั่ว  ทำแต่ความดี  ทำจิตใจให้ผ่องใส
        วันมาฆบูชาเป็นวันที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทสำคัญอันถือได้ว่าเป็นหัวใจของคำสอนในพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ในวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือนสาม ดวงจันทร์โคจรมาเสวยมาฆฤกษ์ แต่ถ้าปีใดมี อธิกมาส คือ เดือนแปดสองแปด วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันเพ็ญกลางเดือนสี่ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นที่ พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ รัฐมคธ ในปีแรกของการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ คือ หลังจากตรัสรู้แล้วได้ ๙ เดือน    ความประจวบกันพอดีของเหตุการณ์ในวันนี้ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ มีสี่ประการคือ
        ประการแรก  เป็นการมาชุมนุมกันของพระสงฆ์สาวก จำนวน ๑,๒๕๐ รูป เพื่อเฝ้าพระบรมศาสดา โดยมิได้นัดหมาย
        ประการที่สอง  พระสงฆ์สาวกดังกล่าวล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
        ประการที่สาม  พระสงฆ์สาวกดังกล่าวล้วนแต่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา
        ประการที่สี่   วันนั้นดวงจันทร์เพ็ญเสวยมาฆฤกษ์เต็มบริบูรณ์
        ความพร้อมกันขององค์สี่ประการจึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต
วันวิสาขบูชา
     ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖   วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสาขปุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗
     ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด  ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ  ได้ปรินิพพาน คือดับขันธ์ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง ๓ คราว
อาสาฬหบูชา
แสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
            วันอาสาฬหบูชา  เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดง พระปฐมเทศนา หรือการแสดงพระธรรมครั้งแรก หลังจากที่ตรัสรู้ได้ ๒ เดือน เป็นวันที่เริ่มประดิษฐานพระพุทธศาสนาเนื่องจากมีองค์ประกอบของ  พระรัตนตรัยครบถ้วนคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ในวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือน ๘ ดวงจันทร์ เสวยมาฆฤกษ์

เข้าพรรษา
    "เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระจำเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้
ออกพรรษา
เสด็จกลับจากดาวดึงส์์
        วันออกพรรษา  ตรงกับวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือน ๑๑ เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์ออกจากจำพรรษา หรือการอยู่ประจำที่ตลอดฤดูฝน เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ต่อจากวันนี้ไปพระภิกษุสงฆ์ก็สามารถจาริกไปในที่ต่าง ๆ และค้างแรมในที่อื่นได้
        วันออกพรรษานี้มีการทำปวารณาในหมู่พระภิกษุสงฆ คือให้พระภิกษุสงฆ์ทำปวารณาแทนการทำอุโบสถ์สังฆกรรม ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน ต่างรูปต่างกล่าวคำปวารณาตามลำดับอาวุโส 

วันธรรมสวนะ
วันพระ
        นอกจากวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาดังกล่าวแล้ว  ยังมีวันธรรมสวนะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันพระ”  โดยนับ
วันขึ้น ๘ ค่ำ
แรม ๘ ค่ำ
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันเพ็ญ)
แรม ๑๕ ค่ำ (หากเดือนใดเป็นเดือนขาด ถือเอาวันแรม ๑๔ ค่ำ)
ของทุกเดือน เป็นวันที่ชาวพุทธมาบำเพ็ญกุศลให้กับตนเอง  วันธรรมสวนะนี้มีมาแต่ครั้งพุทธกาล ซึ่งถือเป็นวันบำเพ็ญกุศลของชาวพุทธทั่วไป
        ในวันพระ พุทธศาสนิกชนถือเป็นวันสำคัญ ที่ควรไปวัดเพื่อทำบุญ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และฟังธรรม หรือถือศีล สำหรับผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาอาจถือศีลแปดในวันพระด้วย นอกจากนี้ชาวพุทธยังถือว่าวันพระไม่ควรทำบาปใดๆ

        วันโกน เป็นภาษาพูด หมายถึง วันก่อนวันพระ ๑ วัน