ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการสอบบัญชี
1. การสอบบัญชีคืออะไร
การสอบบัญชี คือ การตรวจสอบสมุดบัญชี เอกสารประกอบการลงบัญชี และหลักฐานอื่นๆ
โดยผู้ประกอบวิชาชีพสอบบัญชี ตามแนวทางปฏิบัติงานที่วิชาชีพได้กำหนดเป็นมาตรฐานไว้เพื่อที่ให้ผู้สอบบัญชีจะสามารถวินิจฉัย และแสดงความเห็นได้ว่างบการเงินที่กิจการจัดทำขึ้นขัดกับข้อเท็จจริง อันเป็นสาระสำคัญและเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปเพียงใด หรือไม่
2. วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบบัญชี มีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ คือ
การตรวจสอบการปฏิบัติตามระบบ (Compliance Test)
เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้ประเมินได้ความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผลว่า การควบคุมภายในที่
องค์กรกำหนดขึ้นนั้น ได้มีการปฏิบัติตามระบบบัญชีและการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้ระบบการควบคุมภายในยิ่งขึ้น
วิธีการทดสอบการปฏิบัติตามระบบ จัดทำได้โดย
2.1 การทดสอบรายการบัญชี เป็นการตรวจดูเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมภายในที่กำหนดไว้ ได้มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง กล่าวคือ มีการอนุมัติรายการโดยผู้มีอำนาจก่อนการบันทึกบัญชี
2.2 การปฏิบัติงานซ้ำ เป็นการทดสอบว่า การปฏิบัติงานเป็นไปตามระบบและวิธีการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ โดยการปฏิบัติงานซ้ำตามวิธีที่พนักงานปฏิบัติ อาจจะเป็นบางขั้นตอน หรือทั้งหมด เช่น การทดสอบระบบการรับเงินฝาก เป็นต้น
2.3 การสอบถามและการสังเกตการณ์ เป็นการสังเกตดูการปฏิบัติงานจริง ขณะที่พนักงานปฏิบัติงานอยู่ เพื่อดูว่ามีการละเมิดหรือละเว้นการปฏิบัติตามระบบการควบคุมภายในที่วางไว้หรือไม่ เช่น การสังเกตดูว่ามีพนักงานคนใดได้ปฏิบัติงานที่ตนไม่ได้รับมอบหมาย หรือไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นหรือไม่
กรณีที่ผู้ประเมินพบว่า การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามระบบการควบคุมภายใน
ผู้ประเมินควรหาสาเหตุว่าเกิดขึ้นเนื่องจากอะไร และมีความถี่มากน้อยเพียงใด ตลอดจนโอกาสจะเกิดความผิดพลาด บกพร่อง หรือการทุจริต อันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร ถ้าผู้ประเมินได้รับการ ชี้แจงแล้วแต่ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะเหมาะสมหรือเพียงพอ ผู้ประเมินอาจไม่มีความเชื่อถือในระบบการควบคุมภายใน และต้องทำการทดสอบความถูกต้องของรายการบัญชีและยอดคงเหลือโดยการทดสอบในสาระสำคัญ (Substantive test)
การตรวจสอบรายการบัญชีและยอดคงเหลือโดยการทดสอบในสาระสำคัญ
(Substantive Test)
หมายถึง การตรวจสอบหลักฐานประกอบรายการที่ปรากฏในงบการเงิน ซึ่งจะกระทำภายหลังการตรวจสอบระบบข้อมูล เพื่อให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินได้
เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์หลักในการตรวจสอบ
2.1 ความมีอยู่จริงหรือเกิดขึ้นจริง
ผู้สอบบัญชี จะทดสอบรายการที่ปรากฏอยู่ในงบการเงิน ไม่ว่าจะสินทรัพย์ หนี้สิน
ทุน รายได้ และค่าใช้จ่าย ว่าจะต้องเป็นรายการที่มีอยู่จริงหรือเกิดขึ้นจริงในกิจการที่รับตรวจสอบ
2.2 ความถูกต้องและครบถ้วนของรายการ
โดยทั่วไปรายการประเภทสินทรัพย์ และรายได้มักจะมีแนวโน้มที่จะแสดงไว้สูงกว่า
ที่มีอยู่จริง ในขณะที่รายการประเภทหนี้สิน และค่าใช้จ่ายมักจะมีแนวโน้มที่จะแสดงไว้ต่ำกว่าที่มีอยู่จริง ดังนั้น ผู้สอบบัญชีจึงต้องพิสูจน์ว่ารายการเหล่านี้ได้ถูกบันทึกไว้อย่างถูกต้องและครบถ้วน (ไม่สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง) ในส่วนที่มีสาระสำคัญ
2.3 กรรมสิทธิ์และภาระหนี้สิน
รายการที่จะบันทึกเป็นสินทรัพย์ของกิจการ จะต้องเป็นสิ่งที่กิจการมีกรรมสิทธิ์
และรายการที่จะบันทึกเป็นหนี้สินได้จะต้องเป็นสิ่งที่กิจการมีภาระในการจ่ายชำระ ผู้สอบบัญชีจึงต้องหาหลักฐานเพื่อดูว่า สินทรัพย์และหนี้สินที่บันทึกในงบการเงินมีกรรมสิทธิ์และภาระหนี้สินจริง
2.4 การตีราคาหรือการกระจายราคา
รายการที่แสดงในงบการเงิน จะต้องเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป เช่น
รายการที่เกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศจะต้องมีการแปลงค่าเป็นเงินบาทตามอัตราที่หลักการบัญชีได้ระบุไว้ การตีราคาสินค้าคงเหลือต้องตีตามราคาทุนหรือมูลค่าสุทธิที่ได้รับ เป็นต้น ดังนั้น ผู้สอบบัญชีจะต้องตรวจสอบว่ารายการเหล่านี้มีการแสดงมูลค่าถูกต้อง
2.5 การแสดงรายการและการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงิน
นอกจากรายการที่ปรากฏอยู่ในงบการเงินแล้ว ผู้สอบบัญชีจะต้องคำนึงถึง
รายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เช่น เรื่องการนำสินทรัพย์ไปค้ำประกันเงินกู้ยืม ผู้สอบบัญชีต้องพิจารณาว่าได้มีการเปิดเผยข้อมูลไว้หรือไม่ การมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (สหกรณ์ถูกฟ้องร้องและอยู่ระหว่างการดำเนินคดี) เป็นต้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้ใช้งบการเงิน
3. ความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชี
ผู้สอบบัญชีเพียงแต่แสดงความเห็นต่องบการเงินเท่านั้น มิใช่ว่ารับประกันความถูกต้อง
ของบรรดางบการเงินต่าง ๆ ในการปฏิบัติการตรวจสอบ หากผู้สอบบัญชีตรวจสอบตามมาตรฐานการ สอบบัญชีที่รับรองทั่วไปแล้ว ผู้สอบบัญชีย่อมต้องตรวจสอบพบข้อบกพร่องอันพึงปรากฏ (ถ้ามี) จากการตรวจสอบตามมาตรฐานฯ นอกเหนือจากนี้แล้วผู้สอบบัญชีไม่ต้องรับผิดชอบ รวมทั้งความรับผิดชอบเกี่ยวกับการค้นหาทุจริต (แต่ผู้สอบบัญชีอาจต้องขยายเวลาการตรวจสอบหรือหาหลักฐานเพิ่มขึ้นเพื่อความเพียงพอต่อการแสดงความเห็น) เว้นแต่ ผู้สอบบัญชีจะปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง นอกเหนือจากหน้าที่ที่จะต้องตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานแล้ว ผู้สอบบัญชียังจะต้องรักษาความลับของลูกค้าที่ได้มาจากการตรวจสอบด้วย
4. หลักฐานในการสอบบัญชี
หมายถึง ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ผู้สอบบัญชีต้องรวบรวมขึ้น เพื่อให้สามารถแสดงความเห็นว่า
งบการเงินของกิจการที่ตรวจสอบนั้นไม่ขัดกับข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญและเชื่อถือได้เพียงใด
คุณลักษณะของหลักฐาน
1) ความเพียงพอของหลักฐาน จะพิจารณาจากปริมาณของหลักฐาน
2) ความเชื่อถือได้ของหลักฐาน จะพิจารณาจากคุณภาพของหลักฐาน
ปัจจัยที่กระทบความเชื่อถือได้ของหลักฐาน
1. แหล่งที่มาของหลักฐาน
- หลักฐานที่มาจากภายนอก (บุคคลที่สาม) เชื่อถือได้มากกว่าหลักฐานที่มาจากภายในกิจการเอง
- หลักฐานที่ผู้สอบบัญชีรู้เห็นด้วยตนเอง หรือทดสอบด้วยตนเอง เชื่อถือได้มากกว่า
2. ประสิทธิภาพการควบคุมภายใน
กิจการที่มีระบบการควบคุมภายในดี หลักฐานจะมีเชื่อถือได้มากกว่า
3. วิธีการที่ใช้และเวลาในการได้หลักฐาน
หลักฐานที่ได้รับมาโดยตรง ในเวลาที่เหมาะสมจะเชื่อถือได้มากกว่า เช่น การตรวจนับ
สินค้าคงเหลือ ณ วันปิดบัญชี จะทำให้สามารถเชื่อถือปริมาณของสินค้าที่มีอยู่ ณ วันสิ้นปีมากกว่าใช้วิธีการตรวจสอบอื่นหรือในเวลาอื่น
4. ความเหมาะสมของผู้ที่ให้ข้อมูล
หลักฐานที่มาจากการสอบถามและขอคำรับรองจะต้องพิจารณาความเหมาะสมของ
ผู้ที่ให้ข้อมูล ถ้าเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำการตรวจสอบโดยตรง จะได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากกว่า
5. ประสบการณ์จากการตรวจสอบครั้งก่อน
จะช่วยประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้มากกว่าการที่ไม่เคยตรวจสอบกิจการนั้น ๆ
6. หลักฐานที่เป็นความจริงหรือความเห็น
หลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริง เชื่อถือได้มากกว่าหลักฐานประเภทความเห็น
7. ความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาด
กิจการที่ผู้สอบบัญชีประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยงสูง จะทำให้ความน่าเชื่อถือของ
หลักฐานลดลง
5. ความเสี่ยงในการสอบบัญชี (Audit Risk) แบ่งเป็น
1. ความเสี่ยงสืบเนื่อง (Inherent Risk : IR ) เป็นความเสี่ยงที่มักจะมีอยู่โดยธรรมชาติ
จากการที่กิจการดำเนินธุรกิจนั้น ๆ เช่น กิจการทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน อาจมีความเสี่ยงจากการเก็บหนี้ไม่ได้ตามกำหนด เป็นต้น
2. ความเสี่ยงเกี่ยวกับระบบการควบคุมภายในของลูกค้า (Control Risk : CR ) ซึ่งไม่อาจ
ป้องกัน หรือแก้ไขข้อผิดพลาด (Control risk) ได้
3. ความเสี่ยงเกี่ยวกับการตรวจสอบที่ไม่พบความผิดพลาดที่มีสาระสำคัญ (Detection
risk) เช่น ผู้สอบบัญชีใช้วิธีการตรวจสอบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เลือกตัวอย่างไม่ถูกต้อง
Inherent risk and Control risk เป็นความเสี่ยงซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจของกิจการนั้น ๆ ซึ่งสภาพแวดล้อม ลักษณะ หรือประเภทของบัญชี จะเป็นตัวกำหนด โดยไม่เกี่ยวข้องกับวิธีการตรวจสอบ
แม้ว่าผู้สอบบัญชีจะไม่สามารถควบคุม Inherent risk and Control risk ได้ แต่ผู้สอบบัญชีสามารถประเมินความเสี่ยงดังกล่าว เพื่อกำหนดขอบเขตในการตรวจสอบที่มีสาระสำคัญ ซึ่งทำให้ Detection risk อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงของการสอบบัญชีอยู่ในระดับต่ำ
6. แนวการสอบบัญชี (Audit Program) คืออะไร
ในการสอบบัญชี ผู้สอบจะต้องจัดเตรียมแนวการสอบบัญชีสำหรับการตรวจสอบในแต่ละ
รายการในงบการเงินเพื่อ
1. ใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการตรวจสอบที่กำหนดแนวทางไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน
โดยการนำเอาเทคนิคต่าง ๆ มาใช้เป็นวิธีการตรวจสอบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
2. ใช้เป็นเครื่องมือในการมอบหมายงานและติดตามงาน หรือการควบคุมการปฏิบัติงาน
ของผู้ช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ใช้เป็นหลักฐานแสดงการปฏิบัติงานตรวจสอบ ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระดาษทำการ
ของผู้สอบบัญชี
แนวการสอบบัญชี ควรจัดทำไว้ล่วงหน้าเพื่อการปฏิบัติงาน และปรับปรุงได้ตาม ความเหมาะสมในระหว่างปี ซึ่งแนวการสอบบัญชีนั้นควรจะต้องสัมพันธ์กับการประเมินประสิทธิภาพการควบคุมภายใน (ดูได้จากแบบจัดชั้นคุณภาพสหกรณ์)
7. การแสดงความเห็นต่องบการเงิน มี 4 แบบ คือ
1. แบบไม่มีเงื่อนไข (UNQUALIFIED OPINION)
2. แบบมีเงื่อนไข (QUALIFIED OPINION)
3. แบบไม่แสดงความเห็น (DISCLAIMER OPINION)
4. แบบงบการเงินไม่ถูกต้อง (ADVERSE OPINION)
8. มาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไป และการตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี
หมายถึงอะไร
มาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไป หมายถึง หลักการพื้นฐานและวิธีการตรวจสอบ ที่สำคัญ รวมทั้งแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่ในรูปของคำชี้แจง หรือรูปลักษณะอื่น ตามปกติจะกำหนดโดยสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย และสอดคล้องกับมาตรฐานการสอบบัญชีระหว่างประเทศ (ISAS)
ถ้าสมาคมฯ ยังมิได้กำหนดหลักการบัญชีในเรื่องใด อาจศึกษาเพิ่มเติมจากตำราประกาศหรือระเบียบปฏิบัติขององค์กรอื่น ๆ เช่น ก.บช. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วิธีการตรวจสอบนั้น ผู้สอบบัญชีต้องพิจารณาถึงมาตรฐานการสอบบัญชีด้วย เพราะมาตรฐานเป็นเครื่องวัดว่าควรใช้วิธีการตรวจสอบอย่างใด และเพียงใด จึงจะให้ผลงานเป็นที่รับรองกันโดยทั่วไป
การตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี หมายถึง การใช้วิธีการตรวจสอบต่าง ๆ ที่ ผู้สอบบัญชีในประเทศไทยถือใช้ โดยปกติแล้ววิธีการตรวจสอบดังกล่าวย่อมพัฒนาไปตามประเพณี การค้าและความต้องการของวงการธุรกิจในประเทศไทย และต้องสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายไทยด้วย นอกจากนี้ ผู้สอบบัญชีต้องมีประสบการณ์หรือมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่ตนตรวจสอบด้วย
9. การเปลี่ยนแปลงหลักการบัญชี
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหลักการบัญชีหรือวิธีการบัญชีที่กิจการใช้อยู่ในปีปัจจุบัน
ซึ่งแตกต่างไปจากที่ใช้ในปีก่อน เช่น การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดค่าเสื่อมราคาจากวิธีเส้นตรงมาเป็นวิธียอดลดลง สำหรับทรัพย์สินในประเภทเดียวกันหรือเฉพาะที่ซื้อใหม่
ตัวอย่างหลักการบัญชีที่สำคัญ
- การตีราคาสินค้าคงเหลือ (FIFO , LIFO และอื่น ๆ)
- การเปลี่ยนแปลงวิธีการบัญชีสำหรับงานก่อสร้างระยะยาว (คิดกำไรเมื่องานเสร็จตาม
สัญญา/คิดกำไรตาม % ของงานเสร็จ)
- รายจ่ายทุน/รายจ่ายค่าใช้จ่าย
- หลักการเปรียบเทียบรายได้กับค่าใช้จ่าย
- หลักราคาทุนเริ่มแรก
10. การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชี
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงรายการทางบัญชีซึ่งมีลักษณะเป็นการประมาณการ เช่น
การประมาณอายุการใช้งานของทรัพย์สินถาวรและหนี้สงสัยจะสูญ
ตัวอย่างการประมาณการทางบัญชี
- การคิดค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
- การคิดค่าเสื่อมราคา
- การล้าสมัยของสินค้าคงเหลือ / เสื่อมชำรุด
- การประกันสุขภาพ
- งวดเวลาที่พึงได้ประโยชน์จากรายจ่ายรอตัดบัญชี
11. การยืนยันยอดลูกหนี้
การขอยืนยันยอดลูกหนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานจากภายนอกเพื่อพิสูจน์ว่า
ยอดลูกหนี้ที่ปรากฏตามบัญชีถูกต้องและเป็นจริง
วิธีการยืนยันยอดลูกหนี้มี 2 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 แจ้งยอดคงเหลือของหนี้ให้ทราบในหนังสือที่ส่งให้ลูกหนี้ วิธีนี้เหมาะสำหรับ
กรณีที่ลูกค้าสามารถปิดบัญชีและให้รายละเอียดลูกหนี้แก่ผู้สอบบัญชีเพื่อใช้ประกอบการขอยืนยันยอดได้ตามวันเวลาที่ผู้สอบบัญชีกำหนดไว้โดยไม่ล่าช้า จำแนกเป็น 2 แบบ คือ
1.1 แบบตอบรับทุกกรณี (Positive form of request) แบบนี้จะขอให้ลูกหนี้ตอบยืนยัน
ทุกกรณีว่า ยอดหนี้ที่แจ้งไปถูกต้องหรือมีข้อทักท้วง วิธีนี้เหมาะสำหรับใช้ในกรณีที่ผู้สอบบัญชีต้องการความเชื่อมั่น และยอดหนี้แต่ละรายค่อนข้างสูง
1.2 แบบตอบเมื่อทักท้วง (Negative form of request) แบบนี้จะขอให้ลูกหนี้ตอบ
เฉพาะกรณีที่มีข้อทักท้วง ใช้ในกรณีที่ผู้สอบบัญชีได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าการควบคุมภายในด้านลูกหนี้ของลูกค้ามีประสิทธิภาพเพียงพอและลูกหนี้แต่ละรายมียอดค้างชำระไม่สูงนัก
วิธีที่ 2 สอบถามโดยไม่ระบุยอดคงเหลอในหนังสือที่ส่งให้ลูกหนี้ ตามวิธีนี้ใน
หนังสือที่ส่งให้ลูกหนี้จะไม่ระบุยอดหนี้ที่ค้าง เหมาะสำหรับใช้ในกรณีที่ลูกค้าไม่อาจปิดบัญชีหรือได้รายละเอียดลูกหนี้แก่ผู้สอบบัญชีได้ตามวันเวลาที่ผู้สอบบัญชีต้องการยืนยันยอด
12. “ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญ” หมายถึงอะไร
ในการปฏิบัติงานตรวจสอบบัญชีเพื่อให้สามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินได้นั้น ผู้สอบ
บัญชีอาจทดสอบรายการบัญชีเพียงบางส่วนแล้ววินิจฉัยจากผลการทดสอบว่าจะสามารถให้ความเชื่อถือข้อมูลทางบัญชีทั้งหมดได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้น การสอบบัญชีจึงมิใช่การให้หลักประกันว่างบการเงิน จะต้องมีความถูกต้องสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้สอบบัญชีที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไปย่อมจะสามารถตรวจสอบพบข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดที่มีนัยสำคัญของบัญชีและงบการเงิน ที่ตรวจสอบได้ ซึ่งจะทำให้สิ่งบกพร่องหลงเหลืออยู่เป็นเพียงส่วนที่ไม่มีสาระสำคัญเท่านั้น และสามารถกล่าวได้ว่างบการเงินนั้นมีความถูกต้องตามที่ควร
13. หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป หมายถึงอะไร
หมายถึง วิธีการบัญชีซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยกฎหมายบัญชีหรือโดยผู้ประกอบการวิชาชีพบัญชี
และสอบบัญชีส่วนใหญ่ ซึ่งมักมีที่มาจากกฎเกณฑ์หรือประเพณีที่นักบัญชีถือปฏิบัติติดต่อกันมา ในบางกรณีวิธีการบัญชีที่ยอมรับทั่วไปอาจมีทางเลือกปฏิบัติหลายวิธี ในทางตรงกันข้ามก็มีหลายกรณีที่วิธีการบัญชีที่ยอมรับทั่วไปอาจใช้ได้เฉพาะกรณีเท่านั้น นอกจากนั้น วิธีการบัญชีที่ยอมรับทั่วไปอาจเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสมกับกาลเวลาและพัฒนาการทางธุรกิจได้ หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปอาจอยู่ในรูปของแนวทางปฏิบัติกว้าง ๆ หรืออาจเป็นข้อกำหนดวิธีปฏิบัติโดยละเอียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตัวอย่างการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
(1) กิจการบันทึกบัญชีขายตามเกณฑ์เงินสด
(2) กิจการไม่คิดค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินถาวรตามส่วนที่ใช้งาน
(3) กิจการบันทึกรายการปรับปรุงบัญชีทรัพย์สินที่ถูกไฟไหม้ตั้งเป็นทรัพย์สินรอตัดจ่าย ภายใน 5 ปี
(4) กิจการบันทึกบัญชีรายจ่ายทุนเป็นค่าใช้จ่าย
(5) กิจการบันทึกรายการทางบัญชีผิดงวดบัญชีที่เกิดขึ้น
หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปรับรู้และให้ความสำคัญกับการบันทึกรายการอย่างถูกต้องตาม
เนื้อหาความเป็นจริง ดังนั้น ในการปฏิบัติงานตรวจสอบผู้สอบบัญชีต้องพิจารณาด้วยว่าการบันทึกรายการตามเอกสารหลักฐานแต่เพียงอย่างเดียวนั้น จะทำให้งบการเงินผิดไปจากเนื้อหาความเป็นจริงอย่างมีสาระสำคัญหรือไม่เพียงใด
ในการพิจารณาหลักการบัญชีที่เหมาะสมสำหรับใช้กับรายการค้าหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้สอบบัญชีจะต้องมีความรอบรู้ถึงวิธีการบัญชีที่อาจเลือกนำมาปฏิบัติได้ เพื่อสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับกรณีมากที่สุด
14. เหตุการณ์ภายหลังวันที่ในงบการเงินหมายถึงอะไร
1) เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่ในงบการเงินแต่ก่อนวันที่ในรายงานของผู้สอบ
บัญชี ซึ่งเป็นหลักฐานหรือข้อมูลเพิ่มเติมที่แสดงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก่อนหรือ ณ วันที่ในงบการเงิน เหตุการณ์นี้มีผลให้ต้องปรับปรุงงบการเงินดังกล่าว ทั้งนี้จะต้องทราบหรือสามารถกะประมาณผลกระทบ ที่มีต่องบการเงินได้อย่างมีเหตุผล เช่น ลูกหนี้ที่มีปัญหาในด้านการเรียกเก็บหนี้มาก่อนและต่อมาทราบว่าเป็นหนี้สูญภายหลังวันที่ในงบการเงิน หรือคดีซึ่งเกิดขึ้นและมีมูลค่าฐานมาก่อนวันที่ในงบการเงิน แล้วรู้ผลภายหลังวันที่ในงบการเงิน เป็นต้น
2) เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่ในงบการเงินแต่ก่อนวันที่ในรายงานของผู้สอบ
บัญชี ซึ่งเป็นหลักฐานหรือข้อมูลเพิ่มเติมแสดงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ในงบการเงิน ในกรณีนี้ไม่ต้องปรับปรุงงบการเงิน แต่ต้องเปิดเผยให้ทราบถึงสถานการณ์นั้นในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เช่น ความเสียหายเนื่องจากไฟไหม้หรือน้ำท่วมภายหลังวันที่ในงบการเงิน เป็นต้น
15. นโยบายบัญชี หมายถึง
วิธีการบัญชีที่กิจการเลือกใช้ การเปิดเผยนโยบายบัญชีที่ใช้ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงิน
กิจการจะเปิดเผยไว้ตอนต้นของหมายเหตุประกอบงบการเงิน
ตัวอย่างนโยบายบัญชีที่ควรเปิดเผย คือ
- วิธีการรับรู้รายได้
- การตีราคาสินค้า
- การตีราคาเงินลงทุน
- ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
- การบัญชีเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่เสื่อมราคาได้และวิธีการคิดค่าเสื่อม
- ทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตน รวมทั้งวิธีการบัญชีหรือการตัดจ่ายที่เกี่ยวข้อง
16. เงินลงทุนระยะสั้น หมายถึง
หลักทรัพย์ที่ซื้อจากเงินสดเหลือใช้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาดอกผลจากเงินลงทุนนั้น และ
เป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในความต้องการของตลาด และฝ่ายจัดการจะขายเมื่อต้องการเงินสด
17. การบัญชีแตกต่างกับการสอบบัญชีอย่างไร
การบัญชี | การสอบบัญชี |
1. เริ่มจากหลักฐาน/เอกสารสู่งบการเงิน | 1. เริ่มจากงบการเงินสู่หลักฐาน/เอกสาร |
2. ยึดหลักการบัญชีซึ่งกิจการใช้ปฏิบัติ | 2. พิจารณาว่าหลักการบัญชีมีความขัดแย้งกับ |
| หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือไม่ |
3. งบการเงินที่ผู้บริหารจัดทำขึ้นอาจยังไม่เป็นที่ | 3. มีความรับผิดชอบต่อบุคคลหลายฝ่าย เช่น |
เชื่อถือหรือเป็นประโยชน์แก่บุคคลภายนอกเต็มที่ | ผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ ผู้ลงทุน ส่วนราชการ ลูกค้า ฯลฯ |
| 4. งบการเงินที่ได้ตรวจสอบและแสดงความเห็น |
| แล้วจะได้รับความเชื่อถือจากบุคคลภายนอก |
18. โดยทั่วไปขอบเขตการตรวจสอบ มี 3 ประการ คือ
1. การตรวจสอบการปฏิบัติงาน (Operational Auditing) เป็นการตรวจสอบการ
ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ และประเมินผลเพื่อทราบประสิทธิภาพของงาน และเพื่อปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานที่ยังบกพร่องให้มีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
2. การตรวจสอบการบริหารงาน (Management Auditing) เป็นการตรวจสอบเพื่อ
ประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้บริหารระดับต่าง ๆ เพื่อทราบประสิทธิภาพและปรับปรุงให้ดีขึ้น
3. การตรวจสอบด้านการเงิน (Financial Auditing) เป็นการตรวจสอบเพื่อทราบความ
ถูกต้อง และเชื่อถือได้ของข้อมูลทางการเงิน และหาทางแก้ไขข้อบกพร่องของการควบคุมด้านการเงิน
19. ขอบเขตการตรวจสอบถูกจำกัด มีได้ในกรณีใดบ้าง
การจำกัดขอบเขตที่สำคัญมักเกี่ยวกับการขอยืนยันยอดลูกหนี้และการสังเกตการณ์ตรวจนับสินค้า กรณีเช่นนี้ถ้าผู้สอบบัญชีสามารถตรวจสอบโดยวิธีอื่นได้หลักฐานเป็นที่พอใจก็ไม่มีปัญหา
กรณีการขอยืนยันยอดลูกหนี้ - กิจการไม่อนุญาตให้ผู้สอบบัญชีส่งหนังสือยืนยันยอด
ลูกหนี้ และลูกหนี้เป็นจำนวนเงินมาก
- ลูกหนี้ปฏิเสธหนี้ และกิจการยังหาสาเหตุไม่พบและ
ไม่สนใจจะหา (เพิกเฉย)
การสังเกตการณ์ตรวจนับสินค้า – กิจการไม่อนุญาตให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ตรวจนับสินค้า
20. งบพิสูจน์ยอดเงินฝากธนาคารกับบัญชีเงินฝากธนาคารของกิจการ
บริษัท ดอกแก้ว จำกัด | ||
งบพิสูจน์ยอดเงินฝาก – ธนาคารกรุงเทพฯ (สาขาไม้งาม ) | ||
31 ธันวาคม 25….. | ||
| | |
ยอดคงเหลือตามใบแจ้งยอดของธนาคาร 31 ธันวาคม 25….. | | xxx |
บวก - เงินฝากระหว่างทาง | xxx | |
- ค่าดอกเบี้ยเงินเบิกเกินบัญชี | xxx | |
- ค่าธรรมเนียมธนาคาร (เช่าตู้นิรภัย) | xxx | |
- ลงบัญชีรายรับแต่ไม่ได้นำฝากธนาคาร (ทุจริต) | xxx | |
- เช็คลงวันที่ล่วงหน้าแต่บัญชีลงรับแล้ว | xxx | xxx |
หัก - เช็คค้างจ่าย | xxx | |
- เช็คคืน | xxx | |
- พนักงานถอนเงินจากธนาคารแล้วไม่ลงบัญชี (ทุจริต) | xxx | xxx |
ยอดคงเหลือตามบัญชี | | xxx |
| | |
21. ข้อผิดพลาด & การทุจริต หมายถึงอะไร
ข้อผิดพลาด หมายถึง การแสดงตัวเลขหรือเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินผิดพลาดหรือ
หลงลืมโดยมิได้ตั้งใจ
การทุจริต หมายถึง การแสดงตัวเลขหรือเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินผิดพลาดหรือมิได้แสดงหรือเปิดเผยไว้โดยเจตนา การทุจริตยังหมายรวมถึง การรายงานเท็จซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งบการเงินหลงลืมและยักยอกทรัพย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น